รีวิวสายการบินครั้งนี้กลับมาบินกับ Emirates จากกรุงเทพฯ ไปฮ่องกงอีกครั้งหลังจากที่เราเคยใช้บริการสายนี้บินรูทเดียวกันไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เป็นการกลับมาบินกับ EK ครั้งแรกหลังผ่านช่วงโควิดเลยค่ะ จากรอบแรกที่เคยใช้บริการแล้วประทับใจสายการบินนี้มาก ทั้งเรื่องของเซอร์วิส อาหาร เอนเตอร์เทนเมนท์บนเครื่องบิน รวมถึงเครื่องบินลำใหญ่อย่าง A380 ที่ใช้บินรูท BKK-HKG ด้วย
ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพและเนื้อหาทั้งหมดภายในเว็บไซต์ไปดัดแปลง ทำซ้ำ หรือเผยแพร่ต่อโดยเด็ดขาด
ครั้งนี้เราจองตั๋ว+โรงแรมเป็นแพ็คเกจไปกับ Expedia ช่วงสงกรานต์ เลยไม่แน่ใจว่าถ้าแยกราคาตั๋วเครื่องบินอย่างเดียวจะเท่าไหร่นะคะ แต่ Emirates เค้าออกตั๋วโปรบินไปฮ่องกงอยู่บ่อยๆ ค่ะ ลองหากดตามช่วงที่จัดโปรโมชั่นดูได้เรื่อยๆ ตามเว็บตรงหรือพวกเอเจนซีก็ได้ค่ะ สำหรับการบริการครั้งนี้เปรียบเทียบกับตอนปี 2018 โดยรวมเรายังรู้สึกโอเคอยู่นะ แต่ก็มีบางเรื่องที่แอบผิดหวังนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน ยังไงลองไปอ่านรีวิวนี้ประกอบการตัดสินใจได้เลยนะคะ
สำหรับใครที่ต้องการอ่านรีวิว Emirates รูทกรุงเทพ-ฮ่องกงตอนปี 2018 สามารถตามไปอ่านเปรียบเทียบกันได้ ที่นี่ เลยค่า
เริ่มต้นที่เคาน์เตอร์เช็คอินที่สุวรรณภูมิเช่นเคย เราเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ค่อนข้างกังวลเรื่องคิวเช็คอินก็เลยไปก่อนเวลาเยอะพอสมควร แต่รอไม่นานเคาน์เตอร์ก็เปิดนะคะ เดาว่าเพราะเป็นเครื่องลำใหญ่ ผู้โดยสารเยอะ เลยทำให้เคาน์เตอร์ต้องเปิดไวกว่า 3 ชั่วโมงหน่อยไม่งั้นจะไม่ทันกัน
เหมือนเดิมค่ะ เรามาต่อแถวเข้าช่องที่ทำ Online Check-in มาเรียบร้อยแล้วเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปรวมกับคนที่ยังไม่ได้เช็คอินเนอะ ขาไปเราได้ตั๋วแบบน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มจากปกติเป็น 30 กิโลสำหรับโหลดใต้ท้อง และถือแครีออนขึ้นเครื่องได้อีก 7 กิโลตามมาตรฐานค่ะ จริงๆ แอบเซ็งที่ขาไปได้น้ำหนักเยอะกว่าขากลับ เพราะตอนไปมันมีแต่เสื้อผ้าเนอะ จริงๆ ควรจะต้องเยอะตอนขากลับเนอะ จะได้ช็อปปิงไม่ยั้ง 55555
ขาออกจากกรุงเทพฯ เป็นไฟลท์ EK384 เวลาเทคออฟคือ 14.00 น. ไปถึงฮ่องกง 17.40 น. มีบินวันละ 1 ไฟลท์เท่านั้นนะ
บินด้วยเครื่องลำใหญ่ มีทั้งหมด 2 ชั้น ตอนเดินเข้างวงเลยจะมีแบ่งโซนสำหรับคนที่นั่งชั้นประหยัดบนชั้น 2 ด้วยค่ะ
ภายในห้องโดยสาร ขาไปเราได้นั่งแถวหน้าใกล้ประตูและบันไดทางขึ้นไปชั้นบนด้วย ที่นั่งเป็นแบบ 3-4-3 เหมือนเดิมค่ะ
แถวที่สามจากประตูเลยได้เห็นการทำงานของพนักงานต้อนรับชัดทุกขั้นตอน แปลกตาดีเหมือนกัน ปกติเราไม่ค่อยได้นั่งหน้าๆ เท่าไหร่
แอบเห็นห้องนักบินแว่บๆ ด้วยล่ะ
ข้างกันจะเป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นสองของเครื่องบิน มีความหรูหราโอ่อ่าสุด
บนเก้าอี้จะมีหูฟัง ผ้าห่ม และหมอนเตรียมเอาไว้ต้อนรับ
ด้วยความที่ A380 เป็นเครื่องบินขนาดใหญ่และกว้าง ทำให้ที่นั่งกว้างตามไปด้วยค่ะ มีพื้นที่เบาะค่อนข้างเยอะ Legroom ก็เยอะ เหยียดขาสบายเลย ด้านบนสามารถเปิด-ปิดช่องแอร์ส่วนตัวได้กรณีที่ร้อนหรือหนาว แอร์เย็นฉ่ำ อากาศบนเครื่องถ่ายเทดี พวกเอนเตอร์เทนเมนท์ก็อัพเดทและใช้งานได้ดีมากเหมือนเดิมค่ะ
เก็บภาพริมหน้าต่างมาฝากกันได้แค่ขาไปนะคะ เพราะขากลับเราไม่ได้นั่งวินโดว์ซีทแล้ว 55555
โชคดีที่วันบินไปท้องฟ้าแจ่มใส เมฆลอยตัวจับกลุ่มกันสวยเพลินตาสุดๆ
เครื่องไต่ระดับจนสัญญาณรัดเข็มขัดดับสักพัก ลูกเรือก็เริ่มเตรียมเสิร์ฟอาหารแล้วค่ะ ไฟลท์ไทม์แค่ 3 ชั่วโมงนิดๆ เลยต้องรีบกินรีบเก็บ
ซึ่งนี่เป็นจุดที่แอบผิดหวังเล็กๆ จากการที่กลับมาบินกับ EK รอบนี้ คือตัวเลือกอาหารไม่มีแล้วค่ะ จากที่เคยบินครั้งก่อนจะมี 2 เมนูให้เลือก ตอนนี้เหลือแค่ 1 เมนูเท่านั้น ไม่มีตัวเลือกให้ผู้โดยสารเลย เราลองถามลูกเรือดูว่าทำไมถึงตัดชอยส์อาหารออก เขาแจ้งแค่ว่า เพราะเป็นไฟลท์สั้น จึงทำให้เสิร์ฟแค่เมนูเดียว สำหรับเราคือไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะ เพราะที่เคยบินรูทนี้มาก่อน เวลาบินเท่ากัน ระยะทางเท่ากัน ก็ยังมีตัวเลือกให้ 2 เมนู (สายการบินอื่นๆ ที่เป็น Full Service ระยะเวลาบินสั้นกว่านี้ก็ยังมีตัวเลือกได้เลย) ส่วนตัวเลยคิดว่าสายการบินน่าจะอยากประหยัดงบประมาณลงหลังจากช่วงโควิดที่อาจจะมีปัญหาด้านการเงินไปบ้าง แต่ก็แอบทำให้เราประทับใจ EK น้อยลงไปกว่าครั้งก่อนเยอะเลยค่ะ
อาหารที่ได้เหมือนกันทุกคนในชั้นประหยัด แกงเขียวหวานไก่ราดข้าว ซึ่งพอไม่มีตัวเลือก คนที่ไม่ถูกใจแกงเขียวหวานหรือคนที่ไม่ชอบกินเนื้อไก่ก็กลายเป็นว่ากินไม่ได้เลย อย่างพ่อเราที่เดินทางไปด้วยก็ไม่ได้แตะอาหารเลยค่ะเพราะเลี่ยงกินไก่ค่ะ (คุณพ่อเป็นเกาท์ค่ะ) กินแค่ขนมปังกับเนย แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าสายการบินเค้าตัดเหลืออาหารแค่ 1 อย่าง ทำให้เราไม่ได้เข้าไปจองอาหารพิเศษก่อนบิน ตรงนี้เราเลยค่อนข้างผิดหวังที่เลือกอาหารไม่ได้ทั้งที่เมื่อก่อนเคยเลือกได้ค่ะ
อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นสลัดเย็นคล้ายๆ ส้มตำ รสชาติก็พอไหวค่ะ คล้ายตำไทยแต่เป็นมะละกอขูดเส้นสั้นๆ ข้างกันคือของหวาน เป็นข้าวเหนียวเปียกๆ กับซอสเจลลี่มะม่วง อันนี้ไม่ผ่านสำหรับเรา หวานแสบคอ รสชาติแปลกๆ ไม่น่าถูกปากคนไทยแน่นอน เดาว่าน่าจะทำให้เหมือนข้าวเหมียวมะม่วง แต่ไม่เวิร์คเลยค่ะ
รสชาติแกงเขียวหวานอร่อยพอใช้ได้สำหรับเรา ปริมาณโอเคค่ะ พอเหมาะ
ดีที่เค้าให้ช็อกโกแลตบาร์เล็กๆ กับคิทแคทมาด้วย กินแทนข้าวเหนียวเยลลี่มะม่วงได้ 5555
ขาไปแฟนลุกไปเข้าห้องน้ำ เลยได้ถ่ายด้านในมาให้ดูกันค่ะ กว้างขวางกว่าลำอื่นๆ ที่เคยบิน สมกับเป็นเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้
เครื่องใช้ในห้องน้ำค่ะ มีแก้วกระดาษให้ใช้สำหรับแปรงฟันด้วย สะดวกดี
มาที่ไฟลท์กลับกันค่ะ ขากลับเราบินกลับด้วย A380 เหมือนเดิม ไฟลท์ EK385 เวลาบินกลับจากฮ่องกงคือ 21.30 น. ถึงกรุงเทพฯ 23.45 น. เวลานี้ถือว่าดีมากเลยเพราะยังอยู่เที่ยวต่อได้เกือบวันแล้วค่อยมาสนามบินตอนเย็นได้ค่ะ ขากลับเราได้น้ำหนักกระเป๋าตามขั้นต่ำของสายการบินคือ 25 กิโลกรัม น้อยกว่าขามาตั้ง 5 โลแน่ะ แอบเสียดายอยากให้สลับกันจัง
เรามารอที่สนามบินฮ่องกงประมาณห้าโมงนิดๆ เคาน์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิด แต่คนมาต่อแถวรอโหลดกระเป๋ากันเยอะจนแถวยาวไปมากเลยค่ะ ขนาดไปถึงเร็วเผื่อเวลาแล้วนะ
ใช้เวลาต่อแถวเพื่อเข้าโหลดกระเป๋าอยู่ชั่วโมงกว่าๆ เลยกว่าจะเสร็จ
ได้บอร์ดิงพาสแล้วก็เข้ามาในเกทกันค่ะ เดินช็อปปิงร้านค้าในนั้นต่อนิดหน่อยก็มารอหน้าเกท เลขที่ออกคือเกท 60 ต้องนั่งรถไฟต่อมาเกทนี้เพราะอยู่อีกอาคารนึง ในจอโชว์ปลายทางเป็น Dubai เพราะไฟลท์นี้ปลายทางจริงๆ คือดูไบค่ะ แต่แวะเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพฯ
หน้าเกทจะมีเลขไฟลท์และเวลาดีพาร์ทแจ้งไว้ชัดเจน ไม่ต้องกลัวนั่งรอผิดประตู ชอบการจัดการของการท่าฮ่องกงนะคะ ผู้โดยสารจะเยอะแค่ไหนแต่ก็ทำงานรวดเร็วเป็นระบบ ทำให้ไม่ติดขัดเวลาต่อแถวเดินขึ้นเครื่อง
ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว คราวนี้ได้นั่งแถวกลาง อดมองวิวเมืองตอนเครื่องขึ้น-ลงเลย
สิ่งที่ยังชอบและประทับใจอยู่ก็คือระบบเอนเตอร์เทนเมนท์ค่ะ ยังทำได้ดีเหมือนเดิม มีทั้งหนัง รายการวาไรตี้ ค่อนข้างอัพเดทอยู่นะ มีให้เลือกเยอะ
มาดูอาหารขากลับกันบ้าง 1 เมนูที่เค้าเสิร์ฟจะมีอะไรให้เรากินนะ
เผยโฉมมื้อค่ำของเราบนไฟลท์นี้ หน้าตาดูดีใช้ได้ แต่เสียอย่างคือไม่มีตัวเลือกนี่แหละ
บะหมี่และไก่ราดซอสมะเขือเทศค่ะ รสชาติกลางๆ ค่อนไปทางจืดเล็กน้อย ผักนุ่มดี
อาหารเรียกน้ำย่อยเป็นยำวุ้นเส้นสไตล์ไทยๆ แต่วุ้นเส้นแข็งมากค่ะ อันนี้เราจิ้มกินแต่กุ้ง ส่วนของหวานเป็นเค้ก อันนี้อร่อย กินหมดเกลี้ยงเลย
โดยรวมแล้วความประทับใจน้อยลงไปกว่าตอนปี 2018 ที่เคยใช้บริการ เรื่องอาหารเป็นเหตุผลหลักเลย รู้สึกว่าคุณภาพลดลงจากที่จำได้ เรื่องตัดชอยส์ออกนี่สำหรับเราคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำเลยค่ะ น่าจะรักษาระดับมาตรฐานตรงนี้ไว้มากกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างการบริการ พนักงาน รอบก่อนเราไม่เจอปัญหา รอบนี้ก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรใหญ่โต ถึงจะเจอลูกเรือที่ทำงานงงๆ บ้างตอนขากลับ แต่อันนี้พอเข้าใจได้เพราะดูจะเป็นพนักงานใหม่ค่ะ นอกเหนือจากนั้นก็ยังโอเค แฮปปี้กับไฟลท์บิน กับความสบายบนเครื่อง ติอย่างเดียวคือเรื่องอาหารนี่แหละ หวังว่าอนาคตเค้าจะเอาตัวเลือกอาหารกลับมาอีกครั้งนะคะ
รีวิวรูทบินกรุงเทพ-ฮ่องกงสายอื่นๆ: Cathay Pacific / HongKong Airlines
เนื้อหาทั้งหมดในโพสต์นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ติดตามรีวิวร้านอาหาร ของกิน ที่เที่ยว ที่พัก และไลฟ์สไตล์อื่นๆ ได้ที่ facebook.com/twinklebabystyle นะคะ ❤️
Disclaimer: This post is NOT sponsored. All opinions are my own.