เที่ยวเพลินอิ่มพุง บุกร้านอร่อยย่านดังใน ‘ฮ่องกง’ พร้อมพิกัดและข้อมูลแน่นเอี๊ยด!

สวัสดีค่ะ สายกินมารอทางนี้ได้เลย เพราะคราวนี้เราจะตระเวนกินกันทั่วย่านดังของฮ่องกงกัน! หลังจากที่พาเที่ยวหัวหินไปครั้งก่อน คราวนี้เราจะมาพาเที่ยวพาชิมในฮ่องกงค่ะ

ก่อนอื่นทริปนี้เริ่มมาจากการอยากไปดิสนีย์แลนด์รอบที่สามของเราเอง ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปจริงจัง แต่พอเปิดโน่นไปเปิดนี่มา เจอโปรตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก 4 วัน 3 คืน ในราคาคนละ 9,990 บาท! โห ราคาขนาดนี้ บิน Cathay Pacific พักโรงแรมใจกลางย่าน Jordan ไม่คว้าไว้ก็ไม่รู้จะว่าไง 5555 เพราะลองกดแค่ตั๋วอย่างเดียวไปกลับของหางแดงก็ตกคนละเกือบหมื่นแล้วค่ะ เพราะวันว่างที่เราจะไปโปรโมชั่นหมดไปแล้ว นี่เจอบินแบบ Full Service แถมพักโรงแรม BP เลยรีบจองเลย

เราเดินทางกันวันที่ 6-9 ก.ค. ที่ผ่านมานี้ค่ะ โดยโพสต์นี้จะพาเที่ยวแบบชิลๆ (ไม่เน้นเที่ยว) พากินและบอกพิกัดร้านอย่างละเอียดพร้อมข้อมูลแน่นเอี๊ยด เผื่อว่าเพื่อนๆ จะตามไปชิมกันเนอะ ถ้าชอบหรือถูกใจกระทู้นี้ช่วยกดบวกแล้วก็แชร์กันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^^ ถ้าพร้อมแล้วก็! ตามไปเที่ยวไปกินด้วยกันเลยค่าาา!

ปล. เราแลกเงินได้มาที่เรท 4.34 บาท คิดราคาเงินไทยด้วยการเอาเงินฮ่องกงคูณกับเรทที่เราแลกไปจะได้เป็นเงินบาทจ้า

ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพและเนื้อหาทั้งหมดภายในเว็บไซต์ไปดัดแปลง ทำซ้ำ หรือเผยแพร่ต่อโดยเด็ดขาด


♡ DAY 1

เริ่มออกเดินทางไปสนามบินด้วยการเรียก GrabCar ล่วงหน้าเลยค่ะ
ใช้โค้ดส่วนลด 100 บาท จาก 400 บาท (ราคาเหมาไปสุวรรณภูมิ) เหลือแค่ 300 บาทเอง

ถือว่าถูกมากกกกกกกกกกก ไปสุวรรณภูมิด้วยเงิน 300 บาทเนี่ย ค่าทางด่วนก็ไม่ต้องออกเองค่ะ
ได้รับบริการดีๆ ไม่ต้องคอยเครียดว่าจะไปยังไง เรียกแท็กซี่จะไปมั้ย โดนโกงมิเตอร์มั้ย ถือว่าดี

ไฟลท์ขาไปของเรา เครื่องบินออกเวลาตีสองห้านาที (2.05) ของวันที่ 6 กรกฎาคม
ซึ่งถือว่าเป็นไฟลท์เช้ามืดเลยทีเดียว ไปถึงสนามบินตอนเกือบสามทุ่มของวันอาทิตย์ที่ 5 ก.ค.

เคาท์เตอร์เช็คอินยังไม่เปิด ไฟลท์เราเปิดตอน 23.05 ค่ะ ก็รอกันไป นั่งกินสตาร์บัค กินข้าวปั้นแฟมิลี่มาร์ท

พอถึงเวลาก็ไปเช็คอินค่ะ เราทำการ Online Check-in มาเรียบร้อยแล้วจากบ้าน
สายการบิน Cathay Pacific เปิดให้ Self Check-in ก่อนวันบิน 48 ชั่วโมงผ่านเว็บไซต์หรือแอพลิเคชั่นค่ะ
สะดวกและง่ายมากๆ ไม่ต้องไปต่อแถวยาวๆ แล้วก็ลุ้นว่าจะมีที่นั่งรึเปล่าด้วย

แลกเงินกันไปไม่มากมายค่ะ แบ่งๆ กัน ไม่เน้นช็อปปิ้ง เน้นกินอย่างเดียว เหลือเฟือ 5555

มาถึงเกท C7 มีคนมารอเยอะพอสมควรแล้ววว ก็เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ออกมานั่งรอประตูเปิด
พอถึงเวลาประตูเปิดก็ขึ้นเครื่องค่ะ ขึ้นไปนั่งไม่เท่าไหร่เครื่องก็ออกเลย
ไม่มีผู้โดยสารท่านไหนมาช้าหรือเลทเลยค่ะ ออกตรงเวลาไม่มีหงุดหงิดใจ

ได้ที่นั่งติดหน้าต่างตามที่เลือกไว้ ขาไปได้บิน Airbus 330-300 ที่นั่งจะเป็น 2-4-2
เรากับแฟนนั่งฝั่งซ้ายของเครื่อง โดย Window Seat ตกเป็นของน้องแฟนผู้อยากสัมผัสเมฆบนท้องฟ้า
5555 เข้าใจความรู้สึกนาง เพราะตอนเราบินครั้งแรกเราก็อยากนั่งมองวิวเหมือนกันค่ะ

ที่นั่งชั้นอีโคโนมี่นั่งสบาย ไม่อึดอัด ขาไม่ชนกับเบาะด้านหน้า มีจอทุกที่นั่งค่ะ มีเพลง รายการทีวี
ซีรี่ส์ฮ่องกง จีน รายการเอเชีย แล้วก็มีเกมส์ให้เล่นค่ะ แต่เหมือนจะไม่มีหนังให้ดู เสียใจนิดๆ T^T

เลยได้แต่นั่งจิ้มไปเรื่อย แล้วก็ฟังเพลงบ้าง อาหารไฟลท์เช้ามืดแบบนี้เสิร์ฟเป็นเซ็ตขนมค่ะ
มีแซนด์วิช คุ้กกี้ คัพเค้ก ผลไม้ น้ำผลไม้กล่องนึง เครื่องดื่มอื่นๆ ขอได้ที่แอร์โฮสเทสเลยค่ะ
ทั้งพี่แอร์ฯ ทั้งพี่สจ๊วตทุกคนบริการดี ยิ้มแย้มแจ่มใส น่ารักมากๆ ขาไปเราไม่เจอแอร์ฯ ไทยเลยค่ะ

เส้นทางบินไปฮ่องกงใช้เวลา 2 ชั่วโมง 50 นาที ก็มาถึงสนามบินฮ่องกงตอนเวลา 05.50 ตามเวลาฮ่องกง
เครื่องบินไม่วนเลย ลงปุ๊ปวิ่งไปจอดแล้วก็ต่องวงปั๊ป ถือว่ารวดเร็วทันใจวัยรุ่นมาก 55555

พอออกมาจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเราก็ไปเอากระเป๋ากัน แล้วก็ออกไปด้านนอกเพื่อซื้อซิมการ์ดไว้เล่นเน็ต
กับซื้อบัตรปลาหมึกเพื่อเข้าเมืองกันค่า ราคาบัตรใบละ 150 HKD (ประมาณ 650 บาท) ตัดค่ามัดจำ 50 HKD

เคาน์เตอร์ซื้อบัตรออคโทพุสกับหน้าตาบัตรค่ะ ลืมไม่ได้ถ่ายมา
ขออนุญาตใช้รูปที่หาจากกูเกิลนะคะ ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยค่ะ

เรากับแฟนเติมเงินในบัตร Octopus กันคนละ 100 HKD ค่ะ รวมเงินคงเหลือในบัตรจะเป็น 200 HKD
ใช้ไปเลยเต็มๆ สี่วัน ไม่ต้องเติมอีกให้วุ่นวายใจ แถมยังเหลือไปซื้อของจากร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ได้ด้วยค่ะ
ถ่าไม่ได้ไปไหนไกล เดินทางแค่ในเมืองไม่กี่สถานี ไม่ต้องเติมถึง 100 HKD ก็เอาอยู่ค่ะ

เราซื้อซิมการ์ดนักท่องเที่ยวที่ร้าน 1010 ค่ะ เดินออกมาจากเกท ร้านอยู่ชั้นเดียวกับฝั่งขาเข้า
หาไม่ยาก สีเหลืองๆ ตามภาพเลยค่ะ ร้านเปิด 7 โมงเช้า ปิด 5 ทุ่ม เดินเข้าไปบอกอินเตอร์เน็ตซิม

ราคาอยู่ที่ 118 HKD เป็น 4G 5 gb เล่นได้ 8 วัน เน็ตเร็วมากๆ แฟนลองเทสสปีด 16 MB เลยทีเดียว
ขนาดเป็นสัญญาณที่เราแชร์ hotspot ให้แฟนนะคะ ยังเร็วขนาดนี้เลยคิดดู

พอซื้อบัตรปลาหมึกเรียบร้อย ซื้อซิมเสร็จก็ตรงเข้าเมืองกันค่ะ เราเลือกนั่งรถบัสเข้าเมืองเพราะอยากประหยัด
ตอนแรกก็จะนั่ง Airport Express เข้าเหมือนกันค่ะ แต่คิดแล้วตกคนละ 70 HKD
แต่ถ้านั่งรถบัส ราคาต่อคนอยู่ที่ 33 HKD เท่านั้นเอง ประหยัดไปครึ่งนึงเลยค่ะ สายรถบัสเข้าเมืองมีเยอะมาก
เดินตามป้าย To City เลยค่ะ จะเจอกับป้ายบอกสายบัส เยอะมากๆ

ต้องดูว่าพักที่ไหนแล้วใกล้สถานีอะไร ก็ไปตามนั้นค่ะ เราพักย่าน Jordan นั่งสาย A21 ค่ะ
เป็นบัสที่วิ่งผ่าน Nathan Rd. ทั้งเส้นเลยค่ะ จะพักมงก๊ก เยามาไต๋ จอร์แดน จิมซาโจ่ย ก็นั่งสายนี้ค่ะ

นั่งบัสมาเพลินๆ ไม่นานก็เข้าในตัวเมืองแล้ว โรงแรมเราต้องลงป้ายที่ 11 ค่ะ
ป้าย Prudental Centre, Nathan Rd. แล้วก็เดินต่อนิดหน่อย ไม่ไกลมากก็ถึงโรงแรมค่ะ

โรงแรมที่ได้มาพร้อมแพ็คเกจ พักที่ BP International โรงแรมใหญ่ย่านจอร์แดนบนถนน Austin
ตรงข้ามเป็นเซเว่น มีร้านอาหารจานด่วนอย่าง Cafe de Coral ขนาบข้าง
ถัดไปในซอยก็มีของกินตรึม ตรงไปอีกนิดก็เจอ Temple Street แหล่งช็อปชื่อดังย่านนี้
ถือว่าเป็นทำเลทองเลยค่ะ เดินจาก MTR Jordan แค่ไม่เกินสิบนาที ห่างจาก MTR Austin ห้านาทีเองค่ะ

พอถึงโรงแรม ก็ไปฝากกระเป๋าไว้ค่ะ เพราะเค้าให้เช็คอินตอนบ่ายสาม ฝากกระเป๋าเสร็จก็ไปหาอะไรกิน
ด้วยความหิวมาก และเหนื่อยเพราะไม่ได้นอนบนเครื่องเลย ก็เลยหาอะไรกินแถวโรงแรม

ซึ่งก็หนีไม่พ้น Cafe de Coral ตรงข้าม ช่วงเช้าเป็นเมนูอาหารเช้าค่ะ แฟนสั่งชุดไข่ขน ไส้กรอก
เราสั่งเป็นซุปมักกะโรนี ซอสมะเขือเทศ แฮมและไข่ดาว ทุกชุดมีเครื่องดื่มให้ค่ะ
เซ็ตของแฟน 23HKD ส่วนของเรา 27 HKD ราคานี้รวมเครื่องดื่มถือว่าไม่แพงในฮ่องกงค่ะ
ส่วนรสชาติก็เฉยๆ กินได้เพราะหิวมาก 5555 เรียกว่ากินกันตายนั่นแหละค่ะ อิอิ

Cafe de Coral สาขา Austin Rd. (มีหลายสาขาทั่วฮ่องกงและเกาลูนค่ะ)
การเดินทาง: MTR สถานี Jordan ทางออก C2 ขึ้นมาเลี้ยวซ้ายจนเจอถนนใหญ่แล้วเลี้ยวขวา
ร้านอยู่ตรงข้ามโรงแรม BP International

หลังจากจบมื้อเช้าวันแรก เราก็นั่งคุยกันว่าจะไปเที่ยวไหนดี แฟนมาฮ่องกงครั้งแรก
เรามาครั้งที่สามแล้วค่ะ ข้อมูล ถนนและเส้นทางพอคุ้นบ้าง เลยทำให้ครั้งนี้ไม่ยากเท่าไหร่เพราะรู้ทาง
รู้สายรถไฟ ค่อนข้างชินกับถนนที่นี่ เลยทำหน้าที่พาแฟนเที่ยว แต่ทริปนี้ก็ยังมีหลงนิดหน่อยตามสไตล์นักท่องเที่ยวอยู่ค่ะ ฮาๆ กันไป

สรุปคุยไปมา ก็ตกลงว่าจะไปวัด Wong Tai Sin กัน เป็นวัดเดียวที่ไปในทริปนี้เลย
วัดหว่อง ไท ซิน หรือ หวังต้าเซียน เป็นวัดมีชื่อมากในฮ่องกง เค้าบอกว่าถ้าไปฮ่องกง
ต้องไปไหว้พระวัดนี้ค่ะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง ก็เลยพาแฟนไปจัดซะหน่อยรอบนี้

ไปถึงโดยสวัสดิภาพ ออกจากสถานี Wong Tai Sin มาก็เจอวัดเลยค่ะ มีอาม่า อาอึ้มมายืนดักขายธูป
5555 แต่เราไม่ได้ซื้อเพราะไม่ได้กะจะมาไหว้จริงจัง แค่มาถ่ายรูปแล้วก็เดินดูวัดค่ะ

วัด Wong Tai sin
การเดินทาง: MTR สถานี Wong Tai Sin ทางออก B2 ออกมาปุ๊ปเดินตรงทางเข้าวัดทางซ้าย หาไม่ยากค่ะ

ออกจากวัดมาเราก็คุยกันว่าจะไปเดินเล่นที่ Nanlian Garden ลงสถานี Diamond Hill

เป็นสถานีถัดจาก Wong Tai Sin มาแค่สถานีเดียวเอง เหมาะแก่การเที่ยวในวันเดียวกันมาก
เพราะไม่เสียเวลาเดินทางค่ะ สถานีนี้มีร้านซูชิราคาประหยัด Sushi Take-out ด้วย

Nanlian Garden เป็นสวนหย่อมไม่เล็กไม่ใหญ่ ตั้งอยู่ในเมือง แต่พอเดินผ่านประตูเข้าไป
เหมือนหลุดไปอยู่ในหนังจีนตำนานรักดอกเหมย 5555 มันเงียบ มันสงบ มันสวยมาก
ต้นไม้ร่มรื่น อากาศดี สดชื่น ขนาดเป็นหน้าร้อนยังรู้สึกดี ถ้ามาช่วงปลายปีต้องดีกว่านี้แน่ค่ะ

ภายในสวนก็จะมีต้นไม้มากมาย ดอกไม้ ทะเลสาปเล็กๆ ปราสาทสไตล์จีนเหมือนตำนักอะไรสักอย่าง
สะพานสีแดงสวย ข้ามไปเป็นเหมือนตำนักในวังเลยค่ะ มันสวยมากๆ บรรยากาศดีมาก
ไม่รู้จะบรรยายยังไง ต้องไปสัมผัสเองจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ให้รูปภาพช่วยบรรยายความสวยงามไปก่อนเนอะ ^^

Nanlian Garden
การเดินทาง: MTR สถานี Diamond Hill ทางออก C2 มีป้ายบอกทางตลอด ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ

เดินเล่นกันจนอิ่มหนำบรรยากาศ แต่ท้องยังไม่อิ่มค่ะ ข้าวเช้าย่อยไปหมดแล้ว
ก็เลยตัดสินใจกลับมาหาอะไรกินแถวจิมซาโจ่ยกัน นั่งรถไฟกลับมาลงที่ East Tsim Sha Tsui
เพราะจะแวะไปเดินเล่นวิวกลางวันที่ Avenue of Stars พอแวะถ่ายรูปกันก็เดินข้ามไปฝั่งจิมซาโจ่ย
เพื่อไปทานกลางวันที่ Kai Kee Noodle ค่ะ ร้านบะหมี่เกี๊ยวดังที่มีลูกชิ้นปลาหมึกทอดเด้งๆ *0*

ร้าน Kai Kee Noodle หาไม่ยากค่ะ หน้าร้านสีเหลือง คนแน่นร้านตลอดวัน
เราลืมถ่ายหน้าร้านมาค่ะ (เดี๋ยวแปะรูปให้จากกูเกิลสตรีทวิวนะคะ)
เข้าไปคนแน่นร้านเลยค่ะ เป็นช่วงกลางวัน บ่ายๆ พอดี คนมาทานข้าวกัน
ยืนเอ๋ออยู่แป๊บนึงก็ได้เข้าไปนั่ง ต้องแชร์โต๊ะกับคนอื่นด้วยแหละ เพราะโต๊ะว่างไม่มีเลย

เราสั่งบะหมี่เนื้อตุ๋น (Beef Brisket Noodle Soup) แฟนสั่งบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง (Wonton Noodle Soup)
แล้วก็สั่งลูกชิ้นปลาหมึกทอดมาแบ่งกันจานนึง ทุกอย่างอร่อยค่ะ ไม่แปลกใจทำไมเป็นร้านดัง

บะหมี่เนื้อตุ๋นเราน้ำซุปกลมกล่อม เข้มข้น ซดแล้วซดอีก หอมมากๆ
เนื้อตุ๋นก็เปื่อยนุ่ม ไม่มีคำว่าเหนียวให้ขุ่นเคืองใจเลยค่ะ

ส่วนบะหมี่เกี๊ยวของแฟน แฟนบอกอร่อย ซุปจะจืดกว่าของเราหน่อย ไม่เข้มข้นเท่า
แต่เกี๊ยวลูกใหญ่มากค่ะ ให้กุ้งมาสองตัวในเกี๊ยวหนึ่งลูก ส่วนลูกชิ้น เด้งดึ๋งๆ ทอดมาร้อนๆ จิ้มน้ำจิ้มบ๊วย
อร่อยลืมอ้วนเลยทีเดียว เด็ดมากกกกค่ะ เมนูอื่นในร้านก็มีบะหมี่แห้งลูกชิ้นปลาหมึก ฮื่อก๊วยทอดก็น่าทานค่ะ

บะหมี่เกี๊ยวกุ้งชามละ 32 HKD
บะหมี่เนื้อตุ๋น 33 HKD
ลูกชิ้นปลาหมึกทอด 36 HKD

(รูปหน้าร้านจากกูเกิลสตรีทวิวค่ะ)

Kai Kee Noodle
การเดินทาง: MTR สถาที Tsim Sha Tsui ทางออก D2 เดินขึ้นมาตรงไปนิดเดียวก็เจอค่ะ ร้านสีเหลืองเด่นๆ

หลังจากของคาวจบเราก็ต้องหาของหวานมาเติมน้ำตาลในเส้นเลือดสักนิดหน่อย ><
ออกจากร้านบะหมี่มาก็เดินตรงไปเข้าห้าง K11 เลยค่ะ ไปกินไอติมโยเกิร์ตกันนน
ร้าน Smile Yogurt & Dessert Bar มีหลายสาขา แต่เรามากินที่ K11 เพราะว่าอยู่ใกล้ร้านเมื่อกี้พอดี

ร้านนี้เป็นร้านไอศกรีมโยเกิร์ตที่ท็อปปิ้งเลอค่าอลังการงานสร้างมากเลยจริงๆ มีให้เลือกเยอะมากๆ
ที่ฮิตๆ กันก็มี Banana Split เป็นท็อปปิ้งกล้วยกับช็อกโกแลตค่ะ

แต่เราสั่งเป็น Vanilla Sky มีบลูเบอร์รี่อยู่ด้านล่างสุด ต่อด้วยคุ้กกี้ครัมเบิล มะม่วงสุก
แล้วก็ทับด้วยไอศกรีมโยเกิร์ตจนพูนถ้วย ราดด้วยวานิลลาซอสหอมหวาน
แล้วก็แปะด้วยอัลมอนด์เฟลก (เป็นคล้ายๆ วาฟเฟิลกรอบๆ ค่ะ) อร่อยมากกก ราคาถ้วยนี้ 53 HKD ค่ะ

Smile Yogurt & Dessert Bar
การเดินทาง: MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก N4 ทางออกนี้ทะลุห้าง K11 เลย ไม่ต้องเดินหาให้เสียเวลา
ส่วนพิกัดร้านอยู่ชั้น G โซนด้านนอกอาคารค่ะ ถ้าเดินหาไม่เจอให้ถามเคาน์เตอร์อินฟอร์เมชั่นได้เลยค่ะ

ของคาวก็แล้ว ก็หวานก็แล้ว เหนื่อยกันมาตั้งแต่เมื่อวานค่ะ เพราะไม่ได้นอนบนเครื่องบินเลย
เลยกะจะกลับไปเช็คอินแล้วก็ขึ้นไปพักที่โรงแรมค่ะ ด้วยความอิ่มอยากย่อยเลยเดินกลับโรงแรมกัน
จากจิมซาโจ่ยกลับจอร์แดนค่ะ เดินไม่นานก็ถึงแล้ว รอเวลาถึงบ่ายสาม ก็ได้คีย์การ์ดแล้วค่ะ

โรงแรม BP International เป็นห้องพักตั้งแต่ชั้น 14 ขึ้นไป (ตามที่เราเข้าใจนะ 555)
ได้เป็นห้องสแตนด์ดาร์ดรูม วิวเมือง ห้องไม่กว้างแต่ก็ไม่อึดอัด อยู่สองคนสบายๆ
ถือว่าเป็นโรงแรมที่มีพื้นที่พอสมควรในเมืองที่พื้นที่จำกัดอย่างฮ่องกงค่ะ

เราลองกดราคาในอโกด้าดูเล่นๆ ราคาคืนละสามพันนิดๆ เอง ราคาไม่แพง ใจกลางเมือง
เราว่าโรงแรมนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากเลยค่ะสำหรับนักท่องเที่ยว นักชิม นักช็อปทั้งหลาย เดินทางง่าย

ห้องพักของเราค่าาา เตียง ทีวี โต๊ะทำงาน ไดร์เป่าผมอยู่ใต้โต๊ะ ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าดีค่ะ มีกระจกพับขึ้นได้
สามารถนั่งแต่งหน้าตรงนี้ได้แทนโต๊ะเครื่องแป้งเลยค่ะ ตู้เสื้อผ้าบิลด์อินใหญ่ เดินเข้าไปได้ทั้งตัว อิอิ

มินิบาร์ ชา กาแฟ แก้วน้ำครบครัน

มาดูห้องน้ำกันค่ะ ไม่เล็กจนอึดอัด ขนาดโอเค ส่วนเปียกส่วนแห้ง แยกชัดเจนดี

ในห้องน้ำ สะอาดมากค่ะ ส่วนของห้องน้ำอาจจะเล็กไปหน่อยแต่ไม่อึดอัด ห้องอาบน้ำก็ขยับตัวได้สบายๆ
อ่างล่างหน้า สบู่ล้างมือ ทิชชู่เช็ดหน้า ทิชชู่ม้วน แชมพู สบู่อาบน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน หมวกอาบน้ำ
คอตตอนบัท สำลี ทุกอย่างมีให้ครบมากๆ ค่ะ ที่สำคัญคือเติมทุกอย่างให้ทุกวันเหมือนเดิมเป๊ะ
ชา กาแฟ ฟรี ก็เติมให้ทุกวันค่ะ แม่บ้านทำความสะอาดดีมาก เหมือนได้ห้องใหม่ทุกวันเลย 55555

ที่ทางเดินมีตู้กดน้ำดื่ม กับตู้กดน้ำหยอดเหรียญบริการด้วยค่ะ สามารถมาเติมน้ำเปล่าร้อนเย็นได้ไม่เสียเงิน
เพราะค่าน้ำเปล่าขวดนึงที่ฮ่องกงค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับไทย ขวดนึงตกสามสิบกว่าบาท เติมฟรีดีกว่าค่ะ

ส่วนของพนักงานที่ฟร้อนท์ ส่วนตัวเราว่าเสียงแข็งไปหน่อย ดูไม่ค่อยอยากตอบคำถาม 5555
หรืออาจจะเป็นสไตล์การพูดคนฮ่องกงมั้งคะ พยายามคิดบวก พอดีชอบห้องพัก นอนสบาย
เลยตัดเรื่องพนักงานไปได้พอตัวค่ะ แต่พนักงานที่ Bell Service บริการดีมากค่ะ ยิ้มแย้ม เซอร์วิสมายด์มากๆ

พอได้ห้องพักก็เหนื่อยค่ะ เพราะไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เลยคุยกับแฟนของีบสักสองชั่วโมง
แล้วค่อยออกไปหาของกินแล้วก็ชมเมืองกันต่อนะ แล้วเราสองคนก็สลบเหมือดตั้งแต่บ่ายสามโมงกว่าค่ะ

ตื่นมาอีกที ทุ่มนึง!! พระเจ้าาา รีบปลุกแฟนบอก เธอๆๆ ทุ่มนึงแล้วโว้ย 5555
แฟนรีบตื่นตกใจ กะจะนอนสองชั่วโมง ไหงตื่นทุ่มนึงได้เนี่ย
เลยรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็เตรียมออกหากิน เอ๊ย หาอะไรกินกัน อิอิ

วิวจากหน้าต่างห้องพักค่ะ สวยงามตามท้องเรื่อง 55555
(ทุ่มนึงที่ฮ่องกงฟ้ายังค่อนข้างสว่างเลยค่ะ นึกว่าเพิ่งห้าโมงหกโมง)

ร้านที่เราจะไปกินมื้อเย็นกันคือร้าน Kai Kee Restaurant (คนละร้านกะกลางวันนะคะ ชื่อเดียวกัน 555)
เป็นร้านพวกห่านย่าง หมูกรอบ หมูแดง แบบนั้นค่ะ เห็นมีสเต็กด้วย (คนฮ่องกงโต๊ะข้างๆสั่ง)
มีบะหมี่ด้วยค่ะ แต่ที่เด็ดๆ แนะนำก็พวกห่านย่าง หมูย่างฮ่องกงค่ะ อร่อยเด็ด

ออกทางออก A2 ของสถานีจิมซาโจ่ยค่ะ เดินขึ้นมาแล้วตรงยาวๆ แล้วให้มองหาร้านนาฬิกา YES WATCH! ค่ะ

เข้าไปในซอยที่มีเซเว่น จะเจอป้าย McDonald เดินเลยแม็คไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ฝั่งเดียวกับแม็คโดนัลด์เลยค่ะ
หน้าร้านมีภาษาอังกฤษว่า Kai Kee Restaurant ไม่ต้องกลัวหลงเลยจ้า

ไปถึงตอนเกือบสองทุ่ม คนในร้านก็ยังมีเยอะอยู่ แต่ร้านใหญ่พอสมควร โต๊ะเยอะ เลยได้ที่นั่ง
ตอนแรกว่าจะสั่งชุดรวมของย่างมากินด้วยกัน แต่มันเยอะมากๆ ดูท่าแล้วไม่น่าจะกินกันหมด เลยสั่งเป็นจานๆ

สั่งเหมือนกันทั้งคู่เลยเพราะอยากกินกันทั้งคู่ แล้วก็ไม่อยากแย่งกันหม่ำด้วย
สั่งเป็นชุดข้าวหน้าของย่าง (มีหมูแดง หมูกรอบ ไก่ต้ม ห่านย่าง) ให้เยอะมาก!
ในราคาแค่จานละ 58 HKD เท่านั้น!! ถือว่าไม่แพงเลยค่ะสำหรับปริมาณและคุณภาพ

อร่อยมากจริงๆ หมูกรอบย่างได้หอมมากๆ หมูแดงรสชาติดี หวานนุ่ม เค็มกำลังดี
ห่านย่างหนังกรอบอร่อย เนื้อเหนียวนุ่มติดใจ ไก่ต้มเค็มๆ จิ้มกับน้ำมันต้นหอม อร่อยคูณสองงง

ราคาจานละ 58 HKD ค่ะ

Kai Kee Restaurant
การเดินทาง: MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก A2 เดินขึ้นมาตรงไปจนเจอร้านนาฬิกา YES WATCH
หลังจากนั้นเดินไปทางซ้ายของร้านนาฬิกาจะเจอซอยที่มีเซเว่น เดินเข้าไปเจอ McDonald เดินผ่านแม็คไปเรื่อยๆ จะเจอร้านค่ะ
ร้านอยู่ตรงข้ามโรงแรม Guangdong หน้าร้านมีชื่อภาษาอังกฤษชัดเจน หาเจอแน่ๆ จ้า

ทานกันเสร็จเกือบสามทุ่ม ตอนแรกว่าจะไปให้ทันดู Symphony of Light แต่ไม่ทันแล้ว
เลยจะไปถ่ายไฟบนตึกฝั่งฮ่องกงสวยๆ กัน ก็เดินกลับไปอเวนิวออฟสตาร์อีกรอบ ไปถ่ายวิวค่ำคืนกันค่ะ
บรรยากาศดี ลมเย็นๆ พัดมาตลอด ไฟสวยๆ บนตึก คนก็ไม่เยอะมาก วิวตรงนี้สวยจริงๆ ค่ะ ชอบบบ

พอเดินรับลมกันเสร็จก็เดินกลับโรงแรมกัน ผ่าน McDonald ค่ะ ที่ฮ่องกงโปรโมตหนังมินเนี่ยนมากเลยค่ะ

มีไอศกรีมโคนมินเนี่ยนรสมะม่วงค่ะ
หอมหวาน อร่อยสุดๆ ยิ่งเป็นมินเนียนแบบนี้ยิ่งอร่อย มันน่ารักมากเยย ><

เดินผ่าน iSquare มีเป็ดน้อยเต็มเยย น่ารักกกก

แล้วก็กลับโรงแรมพักผ่อนค่ะ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่คุณแฟนรอคอยยย!

♡ DAY 2

ตั้งนาฬิกาปลุกกันตั้งแต่หกโมงครึ่ง เจ็ดโมง เจ็ดสิบห้า บลาๆๆ กลัวไม่ตื่นค่ะ
เพราะเมื่อวานทั้งวันเหนื่อยมาก กลัวแบบจะสลบแล้วตื่นสายมาก เลยตั้งปลุกหลายด่านมาก
สรุป ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกดังทั้งคู่ 555555 ตื่นเต้นเกินเหตุจริ๊งงง

ด้วยความที่ตื่นก่อนเวลา ทำให้มีเวลาแต่งตัว ล้างหน้า อาบน้ำกันแบบชิลๆ
ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เราเลือกกินมื้อเช้าจากนิชชินคัพที่ซื้อจากเซเว่นเมื่อวาน
เพราะว่าไม่อยากไปหาร้านกินตอนเช้ากลัวจะเสียเวลา เพราะกะจะไปรอดิสนีย์เปิดเลยค่ะ

พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็ออกจากโรงแรมกันตอน 8.15 เลือกเดินทางไปด้วย MTR

สะดวก รวดเร็ว ราคาไม่แพง วันนี้เราไปลงที่สถานี Austin ค่ะ เพราะดูจากสายที่ต้องเปลี่ยนรถ
ไปทางสถานีนี้จะใกล้กว่า ไม่ต้องอ้อม จาก Austin ไปเปลี่ยนสายแค่สองทีก็ถึงเลยค่ะ

ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 40 นาทีรวมรอรถไฟพร้อมเปลี่ยนสายแล้ว เร็วมากค่ะ

มาถึงดิสนีย์แลนด์ตอนเก้าโมงนิดๆ เอาตั๋ว e-ticket ที่ปริ้นท์มาไปสแกนรับบัตรที่ตู้แล้วก็ไปรอสวนสนุกเปิด

ประตูหน้าเปิด 9.30 ค่ะ พอเข้าไปปุ๊ปทางสวนสนุกก็จะให้อยู่ในส่วน Main Street U.S.A. ก่อน

วิ่งไปเอาแมปกับไทม์ไกด์ก่อนเลยค่ะ สำคัญมากๆ เราจะได้รู้ว่าต้องไปตรงไหน ดูโชว์อะไรตอนกี่โมง

เข้าประตูหน้ามาตอนเก้าโมงครึ่ง บรรยากาศดี อากาศดี ดูแล้วไม่มีวี่แววฝนเลยแหละ ดีใจ ><

ระหว่างรอส่วนของพาร์คทั้งหมดเปิดอย่างเป็นทางการ เราก็เดินดูของไปเรื่อย เพลินๆ แอร์เย็นๆ

พอถึง 10 โมงตรงเค้าถึงจะเปิดให้เข้าไปในส่วนของ Park อย่างเป็นทางการ

ก่อนอื่นเราขอบอกก่อนเลยว่าเราเป็นแฟนดิสนีย์ตัวเป้งงงง รักและผูกพันกับทุกอย่างของ Disney
ไม่ว่าจะ Disney Classic, Pixar เจ้าหญิง การ์ตูน หนัง อะไรที่เป็นดิสนีย์เรากรี๊ดหมดค่ะ 5555
และแม้ว่านี่จะเป็นครั้งที่ 3 ของเราที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ เราก็ยังตื่นเต้น ตื้นตันจนน้ำตาจะไหลทุกที TT
เพราะมีหลายเครื่องเล่นมากที่ยังเล่นไม่ครบ เพราะมาคราวก่อนช่วงเทศกาลคนเยอะมาก ไม่ได้เล่นหลายอย่าง

ปล. ที่ดิสนีย์แลนด์ห้ามนำอาหารเข้านะคะ พกเข้าได้แค่ขวดน้ำค่ะ แต่ก็ถือว่าประหยัดมาก
เพราะเอาขวดน้ำไปเอง จะได้ไม่ต้องซื้อน้ำในสวนสนุกซึ่งขายขวดละ 25 HKD แพงสุดๆ ค่ะ
ในดิสนีย์แลนด์ จะมีตู้กดน้ำดื่มสะอาดหน้าห้องน้ำทุกที่ในสวนเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหิวน้ำนะคะ

พอสวนสนุกเปิดอย่างเป็นทางการตอนสิบโมงเป๊ะ ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไปเอาบัตรชม Frozen Village
ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลโฟรเซ่นพอดีค่ะ บัตรหมดไวมากๆ แต่เรากับแฟนเลือกที่จะเล่นอย่างอื่น
เลยไม่ได้ตรงไปเอาบัตร ถามว่าอยากไปมั้ย ก็อยากค่ะ แอบเสียดายหน่อยนึง 5555
แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เต็มที่กับทุกโซน ทุกเครื่องเล่นในพาร์คแทนละกัน อิอิ

โซนแรกที่เลือกไปก่อนก็ Fantasy Land ค่ะ เดินเข้าไปในปราสาท Sleeping Beauty ก็เจอเลย

เครื่องเล่นอย่างแรกที่ตรงไปเล่นเลยก็ ‘The Many Adventures of Winnie the Pooh’
เป็นเครื่องเล่นแบบ Slow Ride นั่งไปในฮันนี่พ็อตของหมีพูห์แล้วก็เข้าไปดูการผจญภัย

ฮันนี่พอตของเราสีฟ้าล่ะ

น่ารักมากกกก >< เด็กๆ น่าจะชอบค่ะเพราะว่าเหมือนเป็นการเล่านิทานเรื่องหมีพูห์เลย

หลังจากออกมาจากน้องหมีพูห์ ก็ไปเล่นม้าหมุนของซินเดอเรลล่า ‘Cinderella Carousel’

เป็นม้าหมุนใหญ่ๆ ตั้งกลางแฟนตาซีแลนด์ หมุนกันได้สามรอบก็ลงมา 55555

เตรียมไปต่อแถวดู Mickey’s PhillarMagic เป็นโชว์ 4D ที่ดูทุกครั้งก็ชอบทุกครั้ง
ก่อนเข้าไปจะมีแว่นแจกคนละอันค่ะ ด้านในก็เป็นสตอรี่ของโดนัลด์ดั๊กที่หลงไปในการ์ตูนเรื่องต่างๆ

เอฟเฟคต์พุ่ง เอฟเฟคต์ลม ทำได้ดีมาก เหมือนเราเข้าไปอยู่ในนั้นจริงๆ ภาพสวยมากค่ะ
แฟนชอบอันนี้มาก ประทับใจทุกเพศทุกวัยจริงๆ ค่ะ ใครได้ไปต้องอย่าพลาดโชว์นี้นะคะ
แนะนำจริงๆ ค่ะ โชว์ประมาณ 15 นาทีได้ค่ะ

พอจบโชว์ ก็ยังวนเวียนอยู่ในแฟนตาซีแลนด์ 5555 เดินไปดู ‘it’s a small world’ กันนน
เครื่องเล่นนี้เป็น Attraction ในแฟนตาซีแลนด์อีกอย่างที่ได้รับความนิยมค่ะ

จะเป็นการนั่งเรือเข้าไปชมตุ๊กตาที่ใส่ชุดประจำชาติต่างๆ มีทุกทวีปเลยค่ะ

หลังจากร่องเรือ Small World เสร็จ เดินออกมาเห็นคนกำลังต่อแถวเข้าชม ‘The Golden Mickeys’

เห็นว่ารอบต่อไปที่จะแสดงคือ 11.30 มองนาฬิกาตอนนั้นเวลาสิบเอ็ดโมงสิบห้า

อีกแค่สิบห้านาทีก็เริ่ม เลยตัดสินใจเข้าไปรอเลยค่ะ เพราะโชว์นี้เป็นโชว์ที่ทางสวนสนุกแนะนำให้ดู
เป็นโชว์ที่พลาดไม่ได้ อลังการและประทับใจมาก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ

ทุกคนร้องเพลงสด ไม่มีการลิปซิงค์ เป็นโชว์ที่บรรยายยังไงก็ไม่เท่ากับไปดูเองค่ะ สวยมากๆๆ

หลังจากจบ The Golden Mickeys เราก็ตรงไป Tomorrow Land เพื่อไปกด FastPass ของ Space Mountain
จริงๆ คนต่อไม่ค่อยเยอะเลยค่ะ จะต่อแล้วรอเล่นก็ได้ แต่กดไว้ดีกว่า จะได้ไปเล่นอย่างอื่น 5555
พอกดเสร็จ ได้รอบ 12.50-13.50 จะกลับมาเล่นตอนไหนก็ได้ในระยะเวลาที่ได้รับมาค่ะ

ในระหว่างรอก็ไปเล่นเครื่องเล่นของพี่บัซกัน ‘Buzz Lightyear Astro Blasters’
เป็นเครื่องเล่นที่ใครไปก็ต้องไปเล่นอีกอย่างนึงเลย เพราะมันสนุกมากๆ ค่ะ 5555

เข้าไปจะมีพี่บัซยืนบอกมิชชั่นเราอยู่ว่าต้องทำอะไร เท่ซะไม่มี ><

เป็นเครื่องเล่นที่นั่งบนยานแล้วก็ใช้ปืนเลเซอร์ยิงๆ เพื่อล่าแบตเตอรี่ที่ถูกตัวร้ายอย่าง Zurg วางแผนจะเอาไป
เครื่องเล่นนี้เล่นติดกันสองรอบเลยค่ะ เพราะคนไม่เยอะ ต่อคิวไม่ถึงห้านาทีก็ได้แล้ว

ออกจากพี่บัซมา ก็ถึงเวลาไปเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ที่ดิสนีย์ว่าโหดสุดๆ อย่าง ‘Space Mountain’ กันค่ะ

มีการเตือนด้วย 555555 LAST CHANCE TO EXIT! แล้วน้าา ใครไม่อยากเล่นออกได้ที่จุดนี้ เลยจุดนี้ไปถอนตัวไม่ด้ายยย

ช่อง FastPass รอไม่นานเลยค่ะ น่าจะไม่ถึงสิบนาทีก็ได้เล่นแล้วค่ะ เราชอบมากเพราะเป็นรางในความมืด
มองไม่เห็นราง ทำให้เราเดาทางไม่ได้ว่ามันจะเป็นยังไง วูบขึ้นลงหรือซ้ายขวา 5555 ลุ้นเองค่ะ
ส่วนตัวเราว่าไม่ได้โหดหรือหวาดเสียวมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเรามาสายนี้อยู่แล้ว
แฟนเป็นคนไม่ค่อยชอบเล่นเหวี่ยงๆ แต่นางยังบอกว่าสนุกมากจนต้องเล่นอีกรอบเลยค่ะ มันส์จริงๆ

เดินผ่านใน Tomorrow Land มีโซน Iron Man ที่กำลังเปิดปีหน้าด้วยค่ะ อยากรู้จังว่าจะเป็นยังไง *0*

พอจัด Space Montain เสร็จ ก็ตรงไป Advanture Land ค่ะ ทีแรกว่าจะดูโชว์ของ Lion King

แต่ว่าเวลามันไม่ตรงกันตอนนั้น เลยเล่น ‘Jungle River Cruise’ กัน เป็นร่องเรือชมสัตว์ต่างๆ เพลินค่ะ

มีแวะซื้อแซนด์วิชไก่งวงรองท้องกันด้วย เพราะกลัวทนหิวไม่ไหว อิอิ

ออกจากร่องเรือชมสัตว์ เราก็ตรงไปที่สามโซนใหม่ล่าสุดของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์กัน

ซึ่งได้แก่ Grizzly Gulch, Mystic Point และ Toy Story Land ค่ะ

เราเริ่มกันจาก Grizzly Gulch กันก่อน โซนนี้เป็นโซนฝั่งตะวันตกที่มีเหมืองแร่อยู่ในหุบเขากริซลี่
เครื่องเล่นในนี้มีอย่างเดียวคือ ‘Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars’ เป็นรถไฟเหาะเจ้าหมีค่ะ

สตอรี่ก็เป็นประมาณว่าเรานั่งอยู่บนรถลากเข้าไปในเหมือง แล้วเจ้าครอบครัวหมีเห็นเลยจะส่งเราออกไป
สนุกมากๆๆ เป็นอีกเครื่องเล่นที่ไปแล้วไม่ควรพลาด ไม่ได้หวาดเสียวมาก แค่พอกรี๊ดกร๊าดค่ะ
ไม่หนักหน่วงเท่า Space Mountain เด็กสูงเกิน 112 เซนติเมตรเล่นได้ค่ะ หนุกจริงๆ หมีก็น่ารัก ต้องลอง ^^

ออกจาก Grizzly Gulch มาก็ต่อด้วย Mystic Point เลยเพราะสองโซนนี้ติดกัน
จุดเด่นของโซนนี้คือสวนพิศวงค่ะ คือเป็นโซนที่รวมความลึกลับของสิ่งต่างๆ

Attraction ของโซนนี้คือ ‘Mystic Manor’ ค่ะ เป็นแมนชั่นพิศวงของลอร์ดเฮนรี่กับลิงคู่ใจ อัลเบิร์ต
ด้านในเป็นเครื่องเล่นแบบ Ride ที่ไม่มีราง แต่ใช้แม่เหล็กในการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้เราหมุนได้ทั่วมาก

เป็นเครื่องเล่นที่เราคิดว่าคนคิดคนทำเก่งมากเลยค่ะ เพราะไทม์มิ่ง และการเคลื่อนไหวแต่ละห้อง
ต้องเป๊ะๆ ถึงจะให้ทุกที่นั่งเห็นทุกอย่างเท่ากันหมด การขยับและกลไกเจ๋งสไตล์ดิสนีย์ค่ะ ประทับใจ *-*

และแล้วเราก็ตรงไปที่ Toy Story Land กันเลยยย เข้าโซนนี้มาทางด้านหลัง จะเจอเป็นเร็กซ์ยืนยิ้มอยู่ตัวใหญ่ๆ

คอนเซปต์ของโซนนี้คือเราทุกคนจะกลายเป็นของเล่นของแอนดี้ค่ะ เพราะโซนนี้ถือว่าเป็นสวนหลังบ้านแอนดี้
เหมือนพวกเราๆ จะโดนย่อส่วนให้กลายเป็นไซส์ของเล่นซะนี่ 5555 น่ารักมากเลยเนอะ ^^

โซนนี้คนเยอะมากกก รอคิวอย่างต่ำสิบห้านาทีทุกเครื่องเล่นเลย ยืนรอเมื่อยกันไป 55555
อย่างแรกที่เล่นก็ ‘Toy Soldier Parachute Drop’ เป็นเครื่องเล่นของตุ๊กตุ่นทหารของแอนดี้
ที่มันโดดร่มพาราชูทลงมาในทอยสตอรี่ภาคแรก >< อันนี้วิวสวยมากค่ะตอนอยู่ด้านบน
แนะนำให้นั่งตัวที่หันหน้าออกไปทางโซนนี้นะคะ เห็นทั้งโซนเลย สวยมากจริงๆ ค่ะ

หลังจากนั้นก็ไปต่อแถวเล่น ‘RC Racer’ กัน อันนี้เรายังไม่เคยเล่นเลยเพราะครั้งที่แล้วคนเยอะมาก
ครั้งนี้ก็ถือว่าเยอะแต่ไม่เยอะเท่าตอนนั้นที่เรามา ยืนรอกันเกือบสี่สิบนาทีกว่าจะได้เล่น แต่ก็คุ้มมาก
เพราะมันสนุกมากกกก (ใครไม่ใช่สายโหดอาจจะร้องไห้เอาได้ค่ะ 5555) เพราะมันเหวี่ยงมากๆ

ทั้งเหวี่ยง ทั้งดิ่ง มันวูบไปหมดทั้งตัวเลยค่ะ ตอนมันขึ้นสุดนี่ตัวลอย เท้าลอย เหมือนจะร่วง จะตกตึก 555
ส่วนตัวแล้วเราว่าหวาดเสียว โหดกว่า Space Mountain อีกค่ะ ความรู้สึกประมาณเล่นไวกิ้ง แต่โหดกว่า
เครื่องเล่นนี้จำกัดความสูง 120 cm ขึ้นไปเท่านั้นนะคะ ใครชอบเครื่องเล่นเอ็กซ์ตรีมต้องมาลองๆ

พอเล่นเสร็จ ท้องเริ่มหิวค่ะ เพราะยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันเลย แต่ตอนนั้นก็เกือบบ่ายสี่แล้วค่ะ
เดินถ่ายรูปในโซนนิดหน่อยก็เดินตัดออกจาก Toy Story Land ด้านหน้ากลับไปทางแฟนตาซีแลนด์

เรากินข้าวตรงข้ามม้าหมุนค่ะ เป็นคล้ายๆ ฟู้ดคอร์ท มีสี่ร้านให้เลือก ขายเป็นเซ็ต มีข้าวรวมน้ำอัดลมแล้ว
ตกคนละ 105 HKD ราคาแรงมากอาหารในนี้ เพราะเหตุนี้เราเลยกินข้าวช่วงเย็นหน่อย
จะได้อยู่ท้องถึงตอนกลางคืน ไม่งั้นต้องเสียค่าข้าวสองรอบ T^T แพงง่ะ

แฟนสั่งข้าวซี่โครงหมูบาร์บีคิว เราสั่งเป็นข้าวเนื้อตุ๋น อร่อยทั้งคู่ค่ะ ราคานี้รวมน้ำอัดลมนะคะ
เดินไปหยิบที่เคาน์เตอร์น้ำเลยค่ะ ตอนแรกเราไม่รู้ พอจะไปจ่ายเงิน พนักงานบอกให้เดินไปหยิบได้เลย

พอทานกันเสร็จ เราก็เดินกลับไปทาง Adventure Land เพื่อรอชมโชว์ ‘Festival of Lion King’
รอบที่เราได้ชมคือรอบสุดท้ายของวันแล้วค่ะ ตอน 4.30 โชว์เริ่มตรงเวลาค่ะ

ภายในฮอลล์มีสแตนด์สี่ด้านให้เลือกนั่งกัน โชว์นี้ก็เป็นโชว์เรื่องไลออนคิงตามการ์ตูนเลย
แต่เป็นฉบับย่อๆ ค่ะ 5555 สตอรี่ก็ประมาณว่าซิมบ้ามาเล่าให้ฟังว่าก่อนจะได้เป็นเจ้าป่า ผ่านอะไรมาบ้าง

ซิมบ้าน่ารักมาก ดูนุ่มนิ่มน่ากอด แฟนดี๊ด๊ามาก บอกอยากขึ้นไปขี่ 5555
นักแสดงทุกคนร้องสดค่ะ เป็นโชว์ที่สวยงาม อลังการอีกโชว์ที่ไม่ควรพลาดจริงๆ โชว์ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ

พอได้พักขาจากนั่งดูไลออนคิง เราก็ออกไปเดินเล่นตามโซนต่างๆ ขึ้นรถไฟ Disneyland Railroad ชมวิวไปเรื่อย

เดินถ่ายรูปช่วงหัวค่ำ เพราะเริ่มเปิดไฟกันแล้วค่ะ สวยไปอีกแบบนึง ถ่ายรูปบ้าง พักขาบ้าง

นี่เป็นที่เติมน้ำที่จะมีอยู่หน้าห้องน้ำทุกที่ในสวนสนุกเลยค่ะ สะดวก ประหยัดไปเยอะ

ตอนนี้เวลารอเวลาพาเหรดตอนกลางคืนค่ะ พาเหรด ‘Paint the Night’ เป็นพาเหรดใหม่ที่เพิ่งเพิ่มมาที่นี่ค่ะ
เป็นพาเหรดติดไฟสวยๆ เริ่มเวลา 19.45 ที่ Main Street U.S.A. เราไปจองที่กันตั้งแต่ทุ่มนึง 5555

ได้ที่แถวหน้าปราสาทเลย โค้งหัวมุมกับเมนสตรีทพอดี

คิงไตตันมาอย่างใหญ่ เด่นมากๆ เด่นกว่าแอเรียลอีกค่ะ 555555 จะบอกว่าได้สบตากับแอเรียลด้วย ><
ดีใจมากที่สุดเลย มันตื่นเต้นมาก ได้มีโมเมนต์แบบนี้กับเจ้าหญิงที่เราชอบมากที่สุดดด งิงิ

ตามมาด้วย Beauty & the Beast ค่ะ เบลล์ในชุดประจำสีเหลืองโดดเด่นเป็นสง่ามากๆ

หลังจากนั้นก็เป็นตัวการ์ตูนทั้งหลาย โดนัลด์ มินนี่ กูฟฟี่ พลูโต และมิกกี้ปิดท้ายขบวน
เป็นอันถือว่าจบพาเหรดนี้ค่ะ ประทับใจไม่รู้ลืมมมม

หลังจากจบพาเหรด ด้วยความเหนื่อยมากและปวดขาไปหมดแล้วเพราะเดินทั้งวัน
จากตอนแรกที่จะอยู่ดูพลุตอนปิด เราไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยบอกแฟนกลับก่อนได้มั้ย
ยืนไม่ไหวแล้ว กลับตอนนี้รถไฟจะได้ไม่ต้องเบียดคนอื่นตอนสวนปิดด้วย ยื้อไปยื้อมา
สุดท้ายก็ออกจากสวนสนุกตอน 20.45 ค่ะ จริงๆ อีกแค่สิบห้านาทีพลุก็มาแล้ว

แต่ทริปนี้ถือว่าเป็น Disney’s Day ที่เกินความคาดหมายค่ะ ตอนแรกเช็คอากาศมา ฝนตก 80%
แต่พอเอาเข้าจริง ไม่ตกเลยทั้งวัน อากาศแจ่มใสมาก ดีใจมากค่ะ แล้วก็เล่นได้เกือบครบด้วยแหละ
บ๊ายบายดิสนีย์แล้วค่าาา แล้วจะกลับไปอีกน้าาา ><

พอออกจาก Disneyland เราก็กลับมาทางเดิมเลยค่ะ กลับมาลงสถานี Austin
แล้วก็เดินไปตามทางถนน Jordan เพราะสองสถานีนี้สามารถเดินทะลุกันได้

เดินไปเดินมาก็โผล่ที่ Jordan Rd. จำได้ว่ามีร้านเกี๊ยวซ่า 2.5 HKD อยู่
ก็เลยจะเดินไปหาของกินเล่นกัน สรุปแล้วเจอร้านจริงๆ 5555 ณ ตอนนั้นเกือบสี่ทุ่มแล้ว

ลูกค้าในร้านยังเยอะอยู่เลย เมนูเด่นที่นี่ก็เกี๊ยวซ่าหมูค่ะ ชิ้นใหญ่มากกก ชิ้นละ 2.5 เหรียญอ่ะ
ถูกมากกกกกกกกกก สั่งไปเลยหกชิ้น แล้วก็สั่งซาลาเปาทอดจานนึงกับขนมจีบปลาหนึ่งถ้วย

เกี๊ยวซ่าแป้งนุ่ม ไส้เยอะ เป็นหมูสับปรุงรส ทานกับซอสเปรี้ยวๆ อร่อยมาก

ซาลาเปาทอดร้อนๆ แป้งนุ่มมาก กรอบนอก นุ่มใน จิ้มกับนมข้นหวาน สุดยอดดด

ขนมจีบปลารสชาติเฉยๆ ค่ะ อาจจะไม่ใช่เมนูเด่นที่นี่มั้ง เพราะแป้งไม่นุ่มเยย
ถือว่าลองผิดลองถูกไป แต่ก็ไม่ได้แย่จนถึงขั้นกินไม่ได้นะคะ 5555 พอถูไถ ราคาถูกค่ะ

เกี๊ยวซ่าตัวละ 2.5 HKD รวม 6 ตัว = 15 HKD
ซาลาเปาทอดจานละ 12 HKD หนึ่งจานมี 3 ลูก
ขนมจีบปลา 5 HKD หนึ่งถ้วยมี 5 ลูกค่ะ

ร้านเกี๊ยว 2.5 HKD (อ่านชื่อร้านไม่ออกอ่ะ TT)
การเดินทาง: MTR สถานี Jordan ทางออก A ข้ามถนนแล้วเดินตรงเรื่อยๆ จนเจอหน้าร้านเลย เซฟรูปไปเทียบก็ได้ค่า

พอหม่ำๆ กันให้พอหายอยาก เราก็ออกไปหาอะไรซวกต่อเป็นมื้อหนักค่ะ 555555 (เมื่อกี้ยังไม่หนักอีกเรอะ)
ตอนแรกว่าจะไปตลุยกินร้านที่เค้าแนะนำๆ กันย่านจอร์แดน แต่คิดไปคิดมา
อยากลองผิดลองถูก มั่วๆ บ้าง อยากรู้ว่าจะไปโดนร้านไหน อร่อยรึเปล่า มันสนุกดี

เลยเดินไปเรื่อยๆ เดินหานานมาก จนเกือบห้าทุ่มเลย ตอนแรกคิดว่าจะไม่หาแล้วเพราะเมื่อย
กะจะไปซื้อของกินในเซเว่นกลับไปกินโรงแรมค่ะ เลยจะเดินกลับโรงแรมแล้ว แต่ก็ดันไปเจอร้านนี้

เป็นร้านขายบะหมี่เกี๊ยวทั่วไป แต่เมนูเด่นที้ร้านแนะนำเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูค่ะ
ตอนแรกว่าจะไม่กิน แต่แฟนอยากลองกินลูกชิ้นหมูฮ่องกง ว่าจะอร่อยสู้ไทยได้มั้ย

เลยอ่ะๆ จัดไปตามใจนาง สั่งกันคนละชาม แฟนสั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู
เราสั่งบะหมี่ราดน้ำมันหอย กับเกี๊ยวกุ้งห้าลูก เมนูนี้เป็นเซ็ตค่ะ

แฟนบอกรสชาติดีเลยค่ะ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นมาอย่างใหญ่ เส้นเป็นเส้นคล้ายๆ เกี๊ยมอี๋เลย น้ำซุปใสกลมกล่อม

แล้วเราก็สั่งผักราดน้ำมันหอยเพิ่มแค่ 10 HKDเป็นเพราะสั่งกับเซ็ตเกี๊ยวกุ้งนะคะ
ถ้าจะสั่งผักอย่างเดียวรู้สึกว่าจานละ 15 HKD ค่ะ
แต่ถ้าสั่งอาหารในร้าน ก็สามารถบวกผักเพิ่มมาได้ทุกรายการอยู่แล้วค่ะ

ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นชามละ (Pork Balls) 30 HKD
บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง (Wonton Shrimp) 35 HKD
ผักคะน้าราดน้ำมันหอย (เป็นแบบ add-on กับเซ็ตเกี๊ยวกุ้งค่ะ) 10 HKD

รสชาติเกินความคาดหมาย ไม่คิดว่าจะมั่วได้อร่อย 5555 แต่อย่างที่บอกว่าฮ่องกงค่าที่แพง
ถ้าจะเปิดร้านอาหารแล้วต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองมากค่ะ ไม่งั้นทำแล้วธุรกิจเจ๊งแน่ๆ
สรุปคือร้านอาหารในฮ่องกงส่วนมากรสชาติก็จะโอเคหมด ไม่ถึงกับว่ากินไม่ได้ เททิ้งไรงี้ค่ะ

ร้านบะหมี่ลูกชิ้นหมูลูกชิ้นปลาและเกี๊ยวกุ้ง (อ่านชื่อร้านไม่ออกอีกแล้ว TT)
การเดินทาง: MTR สถานี Jordan ทางออก C2 ขึ้นมาเจอเซเว่น เดินตรงผ่านเซเว่น ร้านอยู่ข้างๆ CircleK ค่ะ

หลังจากอิ่มหนำสำราญ ก็เดินกลับโรงแรม ร้านนี้อยู่ใกล้โรงแรมมากเลย เดินข้ามถนนก็ถึงแย้วว
ไม่ต้องกลัวว่าพักแถวนี้แล้วจะอดตายไม่มีไรกิน 5555 เด็ดทั้งนั้น เดินไปจิมซาโจ่ยก็ใกล้ๆ ด้วย

แวะเซเว่นหน้าโรงแรมด้วย แวะซื้อนม ซื้อขนม ซื้อนิชชิน 55555

เราเป็นมนุษย์ยาคูลท์ เห็นไม่ได้ต้องซื้อกิน เวลาอยู่ไทยละเจอสาวยาคูลท์ทีไรต้องซื้อทู้กที อิอิ
รสเหมือนที่ไทยเลยค่ะ รักษามาตรฐานทั่วโลกดีม๊วกกกก 5555555 แต่ขวดใหญ่กว่าไทยค่ะ

หมดวันที่สองอย่างรวดเร็ว เป็นอีกวันที่สนุกและมีความสุขมากค่ะ ^^

♡ DAY 3

ด้วยความเหนื่อยสะสมจากเมื่อวานส่งผลให้วันที่สามเราตื่นกันสิบโมง – –
เป็นการเที่ยวต่างประเทศที่ตื่นสายที่สุดของเราเลยค่ะ 55555 แล้วแบบหลับกันเพลิน
ไม่มีใครช่วยปลุกเลย นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ก็ไร้ประโยชน์ ตื่นมาเลื่อนปิดแล้วก็นอนต่อ
ผลออกมา ตื่นกันสิบโมงกว่า T_T แผนที่จะไปหาติ่มซำกินมื้อเช้าเป็นอันต้องยกเลิก

อ่ะๆ ไม่เป็นไร ไปหาโจ๊กกินเป็นมื้อสายก็ได้เนอะ พอตื่นแล้วทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย
เราก็ออกเดินทางไปกินโจ๊กนาธานกันค่ะ ร้านนี้หาข้อมูลไปจาก HongkongFanclub เห็นบอกว่ารสชาติดี

เห็นว่าอยู่ใกล้โรงแรมโนโวเทล ชื่อร้าน Nathan Congee & Noodle ค่ะ
ใครที่ไปร้านนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษาเลยเพราะว่าเจ้าของร้านพูดไทยได้ค่ะ

หน้าร้านก็มีป้ายภาษาไทย ‘ไม่ลองไม่รู้’ ด้านในร้านก็มีเมนูไทย ป้ายไทย เต็มเลยค่ะ

เรากับแฟนเดินเข้าไปพร้อมพึมพำคุยกันเป็นไทย อาเจ้คงได้ยินเข้า แกเลยเดินมาเลย
“สั่งอาราย” พร้อมชี้ไปที่เมนูไทยป้ายเด่นมากค่ะ ใหญ่มาก 5555 คนไทยเข้าออกตลอดแน่ๆ

เรา: เอาโจ๊กปลาใส่ไข่เยี่ยวม้าค่ะ
อาเจ้: *มองไปที่แฟน*
แฟน: โจ๊กเครื่องใน
อาเจ้: ใส่ข่ายเยี่ยวม้าม้าย?
แฟน: *ส่ายหน้า*
เรา: ปาท๋องโก๋ด้วยจานนึงค่ะ
อาเจ้: ปาท่องโก๋นะ? ล่ายๆๆ

แล้วอาเจ้แกก็เดินไปเอาปาท๋องโก๋ที่วางเรียงไว้อีกโต๊ะมาเสิร์ฟค่ะ
ไม่นานโจ๊กที่สั่งก็มาเสิร์ฟ จะบอกว่าตอนแรกที่เห็นชาม ชามไม่ใหญ่เลย
เรายังถามแฟนเลยว่าแบบเธอจะอิ่มเหรอ ชามแค่นี้เอง สงสัยได้สั่งเพิ่มแน่ๆ

หลังจากถ่ายรูปเรียบร้อยก็มาลองชิมกัน วินาทีแรกที่เนื้อโจ๊กเนียนๆ สัมผัสปลายลิ้น
โหยยยยยยยยยยยยยยยยย !!! เหมือนมีแสงพุ่งๆๆๆ ออกมาจากปาก อร่อยมากก T^T
เกิดมาเพิ่งเคยได้กินโจ๊กอร่อยขนาดนี้ง่ะ โจ๊กในไทยที่เคยกินนี่แพ้รูดเลยค่ะ (ไม่ได้เว่อร์นะเออ)

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินโจ๊กไม่ปรุงมาก่อน กินทีไรใส่ซีอิ้ว ใส่พริกป่นตลอดๆ เพราะมันจืด
แต่โจ๊กที่นี่รสชาติดีมากโดยไม่สนใจเครื่องปรุงที่วางบนโต๊ะเลยสักนิดเดียวจริงๆ ค่ะ
ดูขนาดตับที่เค้าให้มาสิคะ ชิ้นใหญ่มากๆ นี่ถ้าสั่งอีกชามมีหวังกินไม่หมดแน่ๆ เลยค่ะ

ใช้เวลากินกันพอสมควร เห็นชามแค่นี้แต่ให้มาพูนจนจะล้นเลยค่ะ ไหนจะเครื่องที่ใส่แบบไม่กั๊กอีก
โจ๊กร้อนๆ หอมๆ กินคู่กับปาท่องโก๋ฟินกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว T^T เป็นมื้อแรกของวันที่เลอค่าจริงเชียวววว
สรุปกินไปกินมา อิ่มมากกกก เพราะให้เครื่องเยอะมากค่ะ ปลาก็ใส่กันแบบไม่หวงของ เครื่องในมาเต็ม

ร้าน Nathan Congee & Noodle (โจ๊กไม่ลองไม่รู้)
การเดินทาง: MTR สถานี Jordan ทางออก B1 เดินขึ้นมาหันซ้ายออกไปทางถนนใหญ่ค่ะ
หลังจากนั้นเลี้ยวขวาเดินตรงไปอีกสามซอยย่อย เดินจนเจอป้าย Saigon Rd. ปุ๊ปก็เลี้ยวเข้าไปเลย
ซอยเดียวกับโรงแรม Novotel เจอโรงแรมโนโวเทลก็เลี้ยวเลยค่ะ หาไม่ยาก ร้านอยู่ตรงข้าม ^^

พออิ่มหนำสำราญกับโจ๊กมื้อเกือบเที่ยง เราก็เตรียมตัวเดินทางไป The Peak Tram ค่ะ
โดยตอนแรกคิดกันว่าจะนั่งเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปฝั่งฮ่องกงแล้วนั่งรถไฟกลับมา แต่แผนเปลี่ยน
เพราะหลังจากกินกันอิ่ม เราก็เกิดอาการขี้เกียจเดินไปท่าเรือ 5555 เพราะลงสถานีมาก็ตรงจอร์แดน
นั่งไปอีกแค่ไม่กี่สถานีก็เป็นสถานี Central แล้ว ก็เลยอ่ะ ลง MTR ไป The Peak เลยละกัน

นี่เป็นการมาเดอะพีคครั้งแรกของเรา เพราะที่มาครั้งก่อนคนเยอะมาก รอไม่ไหวจริงๆ
รอบนี้มาตอนธรรมดาไม่ใช่เทศกาล เลยแบบขอขึ้นไปดูวิวสักครั้งเถอะน้าาา

ขึ้นจากทางออก J2 ก็เจอป้ายบอกทางเลยค่ะ ทางออกนี้อยู่แถวๆ สวนอะไรสักอย่าง
บรรยากาศดีค่ะ เหมือนได้เดินเล่นในฝั่งฮ่องกง จะได้บรรยากาศคนละแนวกับเกาลูน
พอขึ้นมาก็เดินตามป้ายบอกทางเลย ป้ายบอกให้เลี้ยวขวา เราก็เลี้ยวตามเลยจ้า

เลี้ยวออกมาเป็นคล้ายๆ สวนหย่อม ลานกว้างๆ ให้นั่งพัก เงยหน้าขึ้นเจอวิวตึกสวยๆ
เดินไปตามป้ายบอกทางค่ะ ข้ามถนน ขึ้นเนิน เดินตรงอย่างเดียว

และแล้วเราก็มาถึงทางขึ้นรถราง The Peak กันแล้ววววว ยะฮู้ววว

The Peak Tram
การเดินทาง: MTR สถานี Central ทางออก J2 เดินตามป้ายบอกทาง ไม่หลงค่ะ ง่ายๆ

The Peak เป็นรถรางที่มีมานานกว่าร้อยกว่าปีแล้ว รถรางนี้จะพาเราขึ้นไปชมวิวของเกาะฮ่องกงค่ะ

พอถึงทางเข้าเราก็เดินตรงเข้าไปตรงที่รอรถราง พอดีว่าซื้อบัตรจากตัวแทนจำหน่ายในไทยมาแล้วค่ะ
ตกใบละ 280 บาท เป็นตั๋วรถรางไป-กลับค่ะ ถ้าใครไม่ได้ซื้อไปก่อน ทางเข้าจะมีที่ขายตั๋วค่ะ
หรือจะใช้บัตรปลาหมึกก็ได้ แต่รู้สึกว่าราคาจะแพงกว่านะคะ แนะนำซื้อไปก่อนก็ดีค่ะ ประหยัดดี
ตั๋วนี้เป็นแค่ตั๋วขึ้นรถรางไปชมวิวด้านบน ไม่รวมกับค่าเข้าตึก SkyTerrace นะคะ ถ้าอยากขึ้นไปต้องซื้อแยกค่ะ

รอรถรางได้ไม่ถึงสิบนาทีก็มา รอไม่นานแถมมาตรงเวลาด้วย เพราะเค้ามีประกาศตลอดเวลาค่ะ

วันที่ไปมีเด็กน้อยมาทัศนศึกษาด้วยแหละ เด็กๆ น่ารักกันมาก นั่งเป็นระเบียบไม่วุ่นวายเลยค่ะ
แนะนำให้นั่งรถรางด้านขวานะคะ ตอนขึ้นไปจะเห็นวิวตึกสวยๆ ของเกาะด้วยล่ะ ^^

อันนี้เป็นรถรางรุ่นเก่าค่ะ สีเขียวสวยเชียว

พอขึ้นไปถึง เราก็เดินเล่นชมวิวกันเพลิดเพลิน ขึ้นไปชั้นบนสุดของตึก Peak Galleria จะเป็นจุดชมวิว
มีกล้องส่องทางไกลด้วยค่ะ แต่จะไม่สูงเท่ากับ SkyTerrace นะคะ แต่แค่นี้ก็สวยมากแล้วจ้า

นี่เป็นวิวทั้งหมดของฝั่งอ่าว Victoria ค่ะ สวยชื่นใจจริงๆ ดูวิวเมืองจากมุมสูงๆ นี่เหมือนได้เติมพลัง

หลังจากดูวิวกันจนจุใจแล้ว ก็กลับลงมาด้านล่างค่ะ เจอโบสถ์เลยเข้าไปแวะถ่ายรูปนิดหน่อย

หลังจากนั้นก็เดินกลับไปทางสถานี Central แต่ไม่ได้เดินในสถานีรถไฟนะคะ เดินบนเมือง
เพราะอยากดูเมืองฝั่งฮ่องกง บรรยากาศแปลกไปจากเกาลูนมากเลยสำหรับเรา ฝั่งนี้จะดูเป็นเมืองธุรกิจ
มีต่างชาติเดินกันขวักไขว่เลย ทั้งตึก ทั้งถนน รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในนิวยอร์กเลยค่ะ รถแต่ละยี่ห้อสวยๆ ทั้งนั้น

แวะช็อปปิ้งดูโน่นดูนี่นิดหน่อยก็เริ่มหิวอีกละ 55555 มื้อบ่ายวันนี้เราจะไปกินร้านดัง Tim Ho Wan ค่ะ
ร้านอาหารกวางตุ้ง ติ่มซำ ชื่อดังที่กำลังจะมาเปิดที่เมืองไทย วันนี้ขอมากินต้นตำหรับหน่อยละกันเนอะ

ร้านนี้ขึ้นชื่อลือชา เป็นร้านที่ทั้งต่างชาติ นักท่องเที่ยว และคนฮ่องกงเองต้องต่อคิวรอเพื่อจะได้กิน
เราเลยเลือกไปเวลาที่ไม่ใช่ช่วงพีค กลัวรอนานละหิวทนไม่ไหว ไปถึงร้านตอนสามโมงกว่าๆ

จริงๆ ร้านนี้มีสี่สาขานะคะ แต่เราเลือกกินที่สาขา IFC Mall สถานี Central เพราะว่ามาเดอะพีคอยู่แล้ว

จะได้ไม่ต้องไปหากินให้ไกล 5555 ใครมาฝั่งฮ่องกงแล้วไม่รู้จะกินอะไร เลือกร้านนี้เลยค่ะ ไม่ผิดหวัง

ก็มีป้าย IFC Mall บอกตลอดไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ก็เจอแล้ว
ห้างนี้ใหญ่มากกก เป็นที่ตั้งของ Apple Store ในฮ่องกงด้วยค่ะ พอเข้าห้างมาปุ๊ป ก็ลงบันไดเลื่อนเลยจ้า

พอลงไปปุ๊ป ให้เราเดินไปตามป้าย Airport Express นะคะ เดินไปจะเจอ In Town Check-in
ของสถานี Hongkong Station พอเจอเคาน์เตอร์เช็คอินปุ๊ป จะเห็นบันไดเลื่อนทางขวามือค่ะ
ให้ลงบันไดเลื่อนไปชั้นนึงค่ะ ลงไปปุ๊ป ร้านอยู่ชั้นนั้นเลยค่ะ เดินเข้าไปนิดหน่อยก็เจอแล้ว

โชคดีไปตอนคนไม่เยอะมาก เข้าไปบอกเค้าว่ามาสองคน ก็ได้ที่นั่งเลยค่ะ

พอเข้าไปนั่ง บนโต๊ะจะมีใบสั่งอาหาร ซึ่งเป็นภาษาจีน อ่านไม่ออก 55555

บอกป้าเค้าไปว่า English pleaseee ป้าก็เอาใบภาษาอังกฤษมาให้ค่ะ สีชมพู
จะสั่งอะไรก็ติ๊กๆ ตามเมนูเลยค่ะ ง่ายๆ เราสั่งกันแค่สามอย่างเพราะจะเก็บท้องไปตะลุยกินต่อ

รายการที่สั่งก็มี ซาลาเปาอบไส้หมูแดงขึ้นชื่อที่เกือบทุกโต๊ะสั่ง ข้าวอบไก่ ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง

ติ๊กๆ เสร็จก็ยื่นให้พนักงานคนไหนก็ได้ค่ะ ระหว่างรออาหาร คิวด้านนอกก็เริ่มเยอะแล้ว
จนกลายเป็นแถวยาวๆ ค่ะ โชคดีที่มาเร็วหน่อย ไม่งั้นต้องได้ยืนรอแน่เลย

ซาลาเปาอบไส้หมูแดง แป้งหอมเนย ละลายในปากเลยค่ะ ไส้แน่น รสชาติดีมาก เชื่อแล้วว่าเมนูเด็ด 5555

ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง แป้งนุ่ม ไส้หมูแดงปรุงรสมาอร่อยค่ะ ราดซีอิ๊วหวาน อร่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ข้าวอบไก่ เห็นชามเล็กๆ แต่อัดข้าวและไก่มาอย่างแน่นค่ะ 5555 ราดซีอิ๊วหวานเหมือนกัน อร่อยเด็ด

กินกันไป ไม่รู้ว่าพูดคำว่า “อร่อยมาก” ไปกี่ครั้ง 55555 ถ้ามาเปิดที่ไทยจริงๆ คงได้ไปโดนบ่อยแน่เลยง่ะ

สรุปค่าเสียหายมื้อนี้นะคะ
ซาลาเปาอบ 1 จานมี 3 ลูก (Baked bun with BBQ pork) = 21 HKD
ข้าวอบไก่ (Steamed rice with chicken & Mushroom) = 28 HKD
ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง (Steamed rice rolls stuffed with BBQ pork) = 22 HKD
น้ำชา = ฟรีจ้า

ร้าน Tim Ho Wan สาขา IFC Mall
การเดินทาง: MTR สถานี Central ทางออก A เดินออกมาขึ้นบันไดเลื่อนเดินตามสกายวอล์กเข้าห้าง IFC
ร้านอยู่ชั้น 1 ในสถานี Airport Express Hongkong Station ค่ะ (ไปตามทางที่เราบอกด้านบนได้เลย)

พออิ่มหนำกันอีกมื้อก็เตรียมตัวกลับฝั่งเกาลูนกัน ออกจาก IFC Mall มาเห็นป้ายว่าเดินเชื่อมไปท่าเรือได้
เลยคิดว่าจะนั่งเรือกลับไปลงจิมซาโจ่ยค่ะ เพราะเดินจากตรงนั้นกลับสถานี MTR ก็แอบไกล ขาลาก 555
จะได้นั่งเรือกันด้วย เปลี่ยนบรรยากาศด้วยเนอะ เดินออกมาจากห้างก็เลี้ยวซ้ายไปทางเชื่อมท่าเรือเลยค่ะ

ออกมาเลี้ยวซ้าย วิวก็สวยงาม มองเห็นชิงช้าสวรรค์ด้วย เดินเพลินๆ ลมเย็นๆ ก็มาถึงท่าเรือค่ะ

ค่าโดยสารก็คนละแค่ 2.5 HKD เท่านั้น ถูกมากกกกก ราคานี้จ่ายโดยออคโทพุสการ์ดนะคะ
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะอีกราคานึง แต่ก็ไม่แพงอยู่ดีแหละ เป็นเรือข้ามฟากเฟอร์รี่ที่ได้บรรยากาศมาก

ลมเย็นๆ วิวสวยๆ นั่งเพลินมากเลยค่ะ แป๊บเดียวก็ถึงฝั่งเกาลูนแล้ว ท่าเรือฝั่งนี้ออกมาก็เจอห้าง Habour City

เข้าไปเดินเล่นใน Habour City สักพักก็เริ่มเมื่อยขา 55555 อยากพักก่อนไปหาอะไรกินตอนเย็น
ด้วยความที่ยังอิ่มจาก Tim Ho Wan เลยยังไม่อยากไปกินตอนนั้นค่ะ เลยเดินๆ ไปเรื่อยๆ
สุดท้ายเลยเข้าไปนั่งพักที่ห้าง iSquare แป๊บนึง พักขาแล้วก็หาข้อมูลร้านอาหารว่าจะไปหม่ำอะไรดี

พอเดินเล่นกันพอแล้ว ด้วยความยังไม่หิว เลยตกลงว่าจะไปเดินดูของที่ Mongkok
แล้วก็หาอะไรกินแถวนั้นเลยค่ะ แฟนอยากไปดูรองเท้าที่ถนน Fa Yeun ค่ะ

ซึ่ง Mongkok เนี่ยเป็นถนนที่ขึ้นชื่อเรื่อง Street Food หรือของกินข้างทางมากๆ
เพราะฉะนั้นขอพูดเรื่องกินในย่านนี้แบบรวมๆ เลยนะคะ เริ่มที่การเดินทางก่อนเนอะ

ของกินย่าน Mongkok
การเดินทาง: MTR สถานี Mongkok ทางออก D3 ขึ้นสถานีมาเดินตรงไปจนสุดถนนเลยค่ะ

ร้านแรกที่จะเจอเลยคือร้าน Hui Lau Shan เป็นร้านขายน้ำผลไม้ สมูทตี้ ขนมหวานเก่าแก่
มีหลายสาขาเหมือนกันค่ะ แค่ในมงก๊กก็หลายสาขาแล้วที่เราเห็น สาขานี้เป็นห้องเล็กๆ

เราสั่ง Aloe & Aloe Jelly in Honeydew Melon Juice ค่ะ เป็นน้ำว่านหางจระเข้ใส่เจลลี่ผสมเมลอนกะน้ำผึ้ง
อร่อยมากกก หอมๆ หวานๆ แต่ราคาแอบแรงนะคะ แก้วนี้ 30 HKD ค่ะ

เดินถัดไปไม่กี่ห้อง ก็เจอกับร้านไก่ทอดร้านดัง Hot Star ที่มาเปิดในเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว
เรายังไม่เคยไปลองที่เอ็มควอเทียร์เลยค่ะ ไม่รู้เป็นไง ขี้เกียจ 5555 พอมาเจอที่นี่เลยแบบลองดูหน่อย

ปรากฎว่ารสชาติโอเคนะคะ ชิ้นใหญ่มาก กรอบนอกนุ่มใน กินไม่หมดเก็บกลับโรงแรม เอามากินอีกทีก็กรอบอยู่

ราคา 30 HKD ต่อ 1 ชิ้นจ้า

ข้างๆ ร้านไก่ฮอทสตาร์ เป็นร้านขายของกินเล่นที่วัยรุ่นฮ่องกงมากินเยอะมากค่ะ
ขายพวกลูกชิ้นทอด ปลาหมึกทอด ไส้กรอก มีหลายอย่างมากเลยค่ะ เลือกชิมกันได้เลย
แต่เราไม่ได้ซื้อเพราะแค่ไก่ก็ไม่หมดแล้ว 5555555

ร้านของทอดอยู่สุดถนนเลยค่ะ เราเดินเลี้ยวซ้ายเพื่อจะไปถนนร้านรองเท้าที่แฟนอยากดู
เลี้ยวซ้ายเดินมาเรื่อยๆ ก็จะมีของขายตลอดทางเลย ไม่มีเบื่อแน่นอน เคสมือถือราคาไม่แพงน่ารักๆ ก็มีค่ะ

เดินไปสักพักตาไปหยุดมองเห็นร้านขายนมมะพร้าว อยากลองดูเห็นน่ากินดี
เลยเกิดกิเลสอยากกินอีกรอบ เอาน้ำว่านหางให้แฟนไป 5555 เดินไปสั่งอาแปะคนขาย “แปะๆ แก้วใหญ่แก้ว”

ได้มาแล้วค่ะ หอมหวาน กินแล้วไม่เลี่ยนเลย ลื่นคอ ดับกระหายสุดๆ ต้องมาลองค่ะ แก้วละ 22 HKD

เดินไปอีกซอยก็เจอ Fa Yeun Rd. แล้วค่ะ เป็นซอยที่มีร้านรองเท้าผ้าใบเยอะมาก ราคาก็เซลล์สุดๆ
แฟนเจอไนกี้คู่ละแค่ 279 HKD (ราคาไม่ถึงพันบาทด้วยซ้ำ!) มีหลายร้านมาก แต่ละร้านก็เซลล์ทั้งนั้นค่ะ
เลือกช็อปกันได้ตามใจชอบเลย แต่เราสายกินไง 555 ตาเหลือบไปเห็น Sushi Express!!

ตอนแรกนึกว่าคนละร้านกะ Sushi Take-out เพราะชื่อไม่เหมือนกัน แต่พอมองไป อ้าว ร้านเดียวกันนี่นา
เลยอ๋อออ ถ้าเป็นชื่อ Sushi Express จะมีร้านด้านในให้นั่งกินด้วยค่ะ เป็นซูชิสายพาน

จัดสิ รออะไร 555 ราคาถ้าซื้อแยกเป็นคำๆ ก็ขายคำละ 3 HKD ทุกหน้าค่ะ ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น 5555
แต่เราเลือกซื้อแบบกล่องรวม ที่ซื้อก็มีหน้าแซลม่อน หน้าปลาไหล หน้าหอยปีกนก แล้วก็หน้ารวมค่ะ
แบบเซ็ตอย่างนี้มีหลายหน้ามาก ลองไปเลือกกันได้ตามใจเลยค่ะ ราคาก็ตามกล่องเลย

ซูชิหน้าแซลม่อน 10 ชิ้น = 30 HKD
ซูชิหน้าปลาไหลย่าง 10 ชิ้น = 30 HKD
ซูชิหน้าหอยปีกนก 6 ชิ้น = 24 HKD
ซูชิหน้ารวม 8 ชิ้น = 32 HKD

ลองคิดเฉลี่ยต่อคำแล้ว ไม่ได้แพงเลยค่ะ หากินในไทยแบบนี้ไม่มี ซูชิตลาดก็คำละ 10 บาทไปแล้ว
คุณภาพร้านนี้ดีกว่าเยอะเลยค่ะ กินไปน้ำตาไหลไป เพราะถูกมาก 555555

ขอสรุปเส้นทางการเดินกินบนถนนมงก๊กของเราตามนี้นะคะ 5555 เผื่อจะงงกัน

สรุปแล้วเราเดินอ้อมเพื่อเสาะหาของกินเล่นค่ะ 5555 ใครจะไปกินจากทางอื่นก็ไม่ว่ากันนะคะ
ทางที่เราบอกอาจจะดูอ้อมไปสักหน่อย ถ้าจะไปเลดี้มาร์เก็ทหรือถนนรองเท้า ออกทางออกอื่นน่าจะใกล้กว่านี้จ้า
แต่ถ้าใครอยากลองไปตามชิมร้านที่แนะนำมา ก็แนะนำให้เดินอย่างที่เราวาดลูกศรไว้ให้ค่ะ

พอเดินดูรองเท้ากันเสร็จก็ตรงกลับโรงแรมจ้า สรุปมื้อเย็นก็คือซูชิที่ซื้อมาค่ะ

♡ LAST DAY

เดินทางมาถึงวันสุดท้ายในฮ่องกงทริปนี้แล้วค่ะ โฮๆ T_T ไม่อยากกลับเยย
อยากอยู่กินต่ออีกสักสิบวันนนน วันนี้เราตื่นกันเก้าโมงนิดๆ ตื่นมาเก็บของลงกระเป๋า
เพราะวันนี้ต้องเช็คเอาท์ก่อนสิบเอ็ดโมง พอเก็บของทุกอย่างเสร็จก็เช็คเอาท์ค่ะ
ก่อนจะไปฝากกระเป๋าที่ Bell Service แล้วก็ออกไปตะลุยวันสุดท้ายกันต่อ

เป้าหมายวันนี้คือติ่มซำเทพร้าน Tao Heng มาถึงฮ่องกงทั้งทีพลาดติ่มซำได้ยังง๊ายยย
ไม่ได้ๆ ยังไงก็ต้องจัด เป็นตายร้ายดีก็ต้องได้กิน 555555 แต่ก่อนจะไปกินมื้อหนัก
ต้องหาร้านรองฆ่าเวลาก่อน 5555 เพราะการกินติ่มซำของฮ่องกงเค้ากินเป็นเวลาค่ะ
ไปกินตอนเที่ยง ราคาจะแพงขึ้นมาเกือบเท่านึงแหนะ เพราะงั้นไปกินหลังบ่ายสอง ราคาจะถูกที่สุด

ออกจากโรงแรมตอนสิบเอ็ดโมงกว่า ร้านที่จะไปกินมื้อแรกของวันคือร้าน Mido Cafe ค่ะ
อยู่ย่าน Yau Ma Tei เป็นร้านขายอาหารรวมๆ สไตล์ฮ่องกง มีทุกประเภทเลยค่ะ

มาถึงสถานี Yau Ma Tei เดินออกทางออก C เดินขึ้นมาก็เลี้ยวขวาเดินตรงเรื่อยๆ จนเจอสนามบาส

เจอป้ายถนน Public Square เลี้ยวขวา เดินตรง ร้านอยู่หัวมุมโดดเด่นค่ะ หน้าร้านมีภาษาอังกฤษชัดเจน

เดินเข้าไปอากง (หน้าจะเป็นเจ้าของ) บอกให้ขึ้นไปข้างบนเลย เราก็ขึ้นไป โชคดีได้โต๊ะหัวมุม วิวดีมาก

บรรยากาศถ่ายจากบนร้านค่ะ ได้โต๊ะหัวมุมเลย

บรรยากาศในร้านก็ได้สไตล์ร้านอาหารฮ่องกงค่ะ เมนูเยอะมาก อยู่บนโต๊ะแบบนี้เลย มีภาษาอังกฤษค่ะ

เราสั่ง French Toast, ข้าวหมูอบราดซอสมะเขือเทศ แล้วก็ชานมร้อนค่ะ

อาหารมาแล้วววว ข้าวหมูอบแอบรอนานค่ะ อาจจะเป็นเพราะต้องรออบแน่เลย
ตอนแรกนึกว่าเค่าจะลืมออเดอร์ซะแล้ว แต่สุดท้ายก็มาค่ะ อร่อยใช้ได้ค่ะ

ข้าวหมูอบ ข้าวอบมาจนเกือบเกรียมๆ กรอบๆ ที่มุมชาม 5555 (ความรู้สึกเหมือนกินพิบิมบับตอนข้าวไหม้ๆ)
หมูเป็นหมูติดกระดูก แต่ก็อร่อยดีค่ะ แต่ก็ไม่ถึงกับอร่อยว้าววววววววววววววขนาดแบบแสงพุ่งจากปาก 555

เฟรนช์โทสต์มาอย่างหอม ชุ่มน้ำผึ้งและเนย (อ้วนนะบอกก่อน) กินกับชานมร้อน อร่อยลืมมม

เฟรนช์โทสต์ (French Toast) = 30 HKD
ชานมร้อน (Hot Milk Tea) = 15 HKD
ข้าวหมูอบซอสมะเขือเทศ (Baked Porkchop with Rice) = 48 HKD

ร้าน Mido Cafe
การเดินทาง: MTR สถานี Yau Ma Tei ทางออก C เดินออกมาเลี้ยวขวา
ตรงเรื่อยๆ จนเจอสนามบาสแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกนิดก็เจอแล้วค่ะ

ภายในร้านห้ามถ่ายรูปค่ะ เลยไม่มีบรรยากาศด้านในให้ชมกัน แต่ว่าเครื่องดนตรีเยอะมากๆ
ใครชอบดนตรีน่าจะชอบเลย เหมือนอยู่ในอาณาจักรดนตรี เดินไปไหนก็เจอ หันหลังก็เจอ ซ้ายขวาก็เจอ

แฟนได้สายกีต้าร์มาสามกล่อง ซื้อ 2 แถม 1 แล้วก็ได้สายสะพายกีต้าร์มา เซลล์อยู่ค่ะ

สายกีต้าร์ Martin กล่องละ 50 HKD (โปรลดราคาซื้อ 2 แถม 1)
สายสะพาย 50 HKD

ร้าน Tom Lee
การเดินทาง: MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก B2 ขึ้นมาเดินตรงจะเจอร้าน Body Shop เลี้ยวซ้ายก็เจอค่ะ

หลังจากนั้นเราก็เดินดูของแถวนั้นอีกสักพัก เดินเข้าออก Watson บ้าง Sasa บ้าง
ได้ของจุกจิกมาเยอะเลยค่ะ Bifesta ที่นี่ขายถูกกว่าไทย อาจจะถูกกว่าไม่กี่ร้อยแต่ก็ซื้อ 5555

ได้น้ำหอม Mosshino มาด้วย เซลล์ 50 เปอร์เซนต์ จาก 680 HKD เหลือ 340 HKD
โอ้มายก็อดดดดดดดด เหลือขวดละแค่ 1475 บาท 100ml ด้วยค่ะ
รุ่นนี้เราไปดูที่ SEPHORA ไทย ขวดละ 3500 บาท คว้าสิคะรอใครมาตัดริบบิ้นหราาาา 55555

พอได้ของกันคนละนิดคนหน่อย ก็เตรียมตัวไปกินติ่มซำละค่ะ ใกล้บ่ายสองเต็มที

ร้าน Tao Heng เป็นร้านติ่มซำยอดนิยมในย่านจิมซาโจ่ยค่ะ
ที่นี่เค้ากินติ่มซำกันเป็นเวลา เวลาเปลี่ยน ราคาเปลี่ยน *0*

7.30-11.30 (ช่วงเช้า) และ 14.00-16.30 (ช่วงบ่าย) ราคาจะถูกลงค่ะ
ส่วนช่วงเที่ยง 11.30-14.00 จะเป็นราคาปกติค่ะ

ร้านอยู่ในซอย Minden Row ค่ะ

พอเข้ามาถึง โต๊ะเต็มจ้าาาา ต้องรอคิว แต่รอไม่นานก็ได้เข้าไปกินแล้ว

สั่งขนมจีบ ฮะเก๋า ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ซาลาเปาหมูแดง เกี๊ยวไส้ผัก เหมือนจะน้อยนะคะ แต่จริงๆแล้ววว…

ขนมจีบกุ้งเป็นกุ้ง ไส้เป็นไส้ อร่อยหอมมากๆ ตอนแรกสั่งมาเข่งเดียว ทนไม่ไหว สั่งเพิ่มอีกเข่งเลย

ฮะเก๋าลูกใหญ่เท่าช้อนค่ะ กุ้งสองตัวใหญ่ๆ อัดแน่น กินทีน้ำตาจะไหล T^T

ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง แป้งสดหอมๆ ราดซอสหวานๆ ไส้แน่น

เกี๊ยวไส้ผักอร่อยค่ะ แน่นๆ เน้นๆ

ซาลาเปาหมูแดงลูกใหญ่ ไส้อัดเต็ม หอมๆ เยยค่ะ อร่อยมากๆ อิ่มมากด้วยยย

เป็นร้านติ่มซำที่ต้องมาโดนจริงๆ ><

ราคามื้อนี้ค่ะ (เป็นราคาช่วงบ่าย 14.00-16.30 ที่จะลดจากปกตินะคะ)
จ่ายไป 93 HKD ค่ะ แต่ขอโทษจริงๆ จำราคาแต่ละอย่างไม่ได้เพราะเค้าตั้งราคาเป็น A/B/C/D ค่ะ
ตามชนิดของแต่ละเมนูค่ะ A จะถูกสุด D จะแพงสุด อย่างฮะเก๋านี่อยู่เซ็ต D จะแพงสุด แต่ราคาไม่เกิน 22 HKD ค่ะ
ราคาไม่แพงมากถ้าเทียบกับความอร่อยในมื้อนี้ ><

ร้าน Tao Heng
การเดินทาง: MTR สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก N4 ขึ้นมาจะเป็นห้าง K11 ขึ้นบันไดมาสองชั้น
เดินออกนอกห้างไปทางถนน Mody Rd. ค่ะ ออกมาปุ๊ปมองหาเซเว่น เดินเข้าไปในซอยเซเว่น

ชื่อซอยว่า Midden Row Rd. เป็นซอยตัน ร้านอยู่เกือบท้ายซอย เดินไม่ลึกก็เจอจ้า

หม่ำติ่มซำเรียบร้อยก็เกือบสี่โมงแล้วค่ะ รถสนามบินจะมารับที่โรงแรมตอน 17.40
เลยว่าจะเดินช็อปก่อนจะเดินกลับโรงแรม เดินเลียบถนน Nathan เรื่อยๆ

แวะเข้า GIORNADO ไปแต่ไม่ได้อะไร เลยแวะ BOSSINI ได้กันมาคนละสองตัว 5555
โปรโมชั่นชื่อครบ 500 HKD ลดอีก 100 HKD คุ้มจริงๆ 5555

ตอนจ่ายตัง ตกใจเห็นพนักงานปิดร้านค่ะ ปิดประตูเหล็กเลย แต่ไม่ได้ถามอะไร
พอออกมาข้างนอก ก็เห็นร้านอื่นทยอยปิดกันหมด เอะใจ มีอะไรรึเปล่า เคอร์ฟิวเหรอ 5555

ก็ไม่ได้อะไรจนเดินกลับโรงแรมค่ะ ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ตรงเคาน์เตอร์ Bell Service
พนักงานตรงนี้บริการดีมาก เซอร์วิสมายด์มากๆ ถามอะไรก็เต็มใจตอบ พูดจาสุภาพมาก

เอากระเป๋าเสร็จเราเลยถามพนักงานว่าทำไมร้านค้าปิดกันหมดเลย เพิ่งจะห้าโมงเอง
เค้าบอกว่าตอนนี้เตือนพายุไต้ฝุ่นระดับ 8 ค่ะ เราก็แอบตกใจ แบบเห็นลมแรงไม่คิดว่าจะมีพายุ
เลยไปนั่งเช็คไฟลท์ค่ะ สรุปไฟลท์เราตอนสามทุ่มครึ่งเลื่อนเป็น 22.15 ค่ะ

แต่ก็ไม่ได้ตื่นกลัวอะไร 5555 รอจนรถ Airport จาก Best Travel มารับ
เราได้รถรับส่งฟรี 1 เที่ยวจากแพคเกจที่ซื้อมากับตั๋วและโรงแรมค่ะ

นั่งแพ็คของตรงล็อบบี้แล้วก็นั่งเล่นเน็ตไปเรื่อยๆ จนถึงเวลา รถมาตรงเวลาค่ะ

ไปถึงสนามบินกันตอนหกโมงครึ่ง ทำออนไลน์เช็คอินกันมาแล้วเหมือนเดิม
เกือบไม่ได้นั่งติดหน้าต่างแหนะ 55555 พอเอากระเป๋าไปโหลดเสร็จก็เดินลงไปเปลี่ยนซิมกลับค่ะ
แล้วก็เอาบัตรปลาหมึกไปคืน ได้ค่าบัตรคืนมาหลังหักค่าคืนบัตรไปคนละ 41 HKD

หลังจากนั้นก็เข้าเกทเตรียมไปช็อปต่อในดิวตี้ฟรี 5555 แต่ก็ไม่ได้อะไรมากมายค่ะ
ได้พวงกุญแจจาก Disney Store มาอีกอันนึง เห็นละอยากซื้อ อะไรก็ได้ขอให้ได้จ่ายเถอะ

แล้วก็มานั่งกินมื้อเย็นกัน เราซื้อไก่ทอด Popeyes แต่สรุปให้แฟนกินเกือบหมดเลย 55555
แฟนกินราเม็งที่อยู่กับซาโบเตน อร่อยดีค่ะ ขายเป็นเซ็ตๆ

กินไปเล่นเน็ตไป wifi ฮ่องกงดีมากค่ะ เล่นง่าย ไม่ต้องลงทะเบียนยุ่งยาก เร็วด้วย
เช็คไฟลท์อีกที สรุปเลื่อนเป็น 22.30 ค่ะ เพื่อนไลน์มาถามว่ามีพายุนะ ระวังนอนหนามบิน 5555
ให้กำลังใจกันดีมากกกกก -*- สรุปก็เดินเล่นในสนามบินฮ่องกงเพลินๆ ค่ะ แวะซื้อแม่เหล็กกันเป็นที่ระลึก

พอถึงเวลา รู้ตัวอีกที อีกสิบนาทีเครื่องออก! วิ่งสิจ๊ะวิ่งงงง 5555 วิ่งไปเกทค่ะ
ทันเวลาพอดี เข้าไปนั่งก้นยังไม่ทันหายร้อน เครื่องออกเลยค่ะ ตรงเวลาจริงๆ

ขากลับเรากลับ Boeing 777-300 ที่นั่งใหญ่สบายไม่อึดอัดเลย เจอแอร์ไทยสามคนค่ะ

อาหารบนเครื่องเสิร์ฟสองอย่างค่ะ มีข้าวกับปลา แล้วก็พาสต้า
ข้าวกับปลาอร่อยมากกกก ส่วนพาสต้า เราว่าจืดไปหน่อย กินไม่หมดด้วยง่ะ

ทริปนี้มีเรื่องให้ลุ้นจนวินาทีสุดท้ายค่ะ ตอนแลนดิ้ง ล้อถึงพื้นแล้วค่ะ
แต่อยู่ๆ นักบินก็บินขึ้นไปใหม่จ้าาาาา งงกันทั้งลำสิงานนี้ 55555
กัปตันประกาศว่าการจราจรหนาแน่น เลยทำให้จอดไม่ได้ ต้องบินกลับขึ้นมา – –

จะลงจอดภายในสิบถึงสิบนาที เลยได้วนชมวิวกรุงเทพฯ อีกรอบเลย 55555

ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า เดินออกมาชิลๆ ขากลับก็เรียก GrabCar เหมือนเดิมค่ะ
แค่รอบกลับนี่แบบ economy ไม่มีเลย เลยต้องใช้บริการแบบ Premium โค้ดส่วนลด 100 บาทเช่นเดิม
เป็น 500 บาทค่ะ หารสองก็แค่คนละ 250 บาทเอง ฮอนด้าแอคคอร์ดมารับเก๋ๆ ไม่ง้อแท็กซี่สนามบิน 555

แล้วก็จบทริปนี้อย่างเป็นทางการค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ กระทู้ยาว รูปแยะมากๆ

เป็นอีกทริปที่มีความสุขมาก ได้กินของอร่อยตลอดทริป ได้เที่ยวในสิ่งที่รัก ดูวิวสวยๆ ของฮ่องกง
เป็นประเทศที่เราไปกี่ทีก็อยากกลับไปอีกไม่มีเบื่อค่ะ แฟนกลับมาบอกอย่างเดียวเลย “ปีหน้าไปอีก” 555

ของทั้งหมดที่ซื้อมาเดี๋ยวรวมรูปกับราคาบอกไว้อีกโพสต์นึงนะคะ
ขอจบกระทู้พาเที่ยวฮ่องกงครั้งนี้ ณ ที่นี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ!

ปล. เรื่องรสชาติเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวล้วนๆ นะคะ ถ้าตามไปชิมแล้วไม่ถูกใจอย่าว่ากันน้า ^^
ปล.2 ขอบคุณข้อมูลการเที่ยวฮ่องกงจากเว็บไซต์ hongkongfanclub ด้วยค่ะ
ปล.3 รูปในกระทู้ที่มีเครดิตเราหากจะเอาไปใช้หรือเผยแพร่ที่อื่นรบกวนหลังไมค์มาบอกด้วยนะคะ
ขอความกรุณาอย่าตัดเครดิตออกจากรูปภาพนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

เนื้อหาทั้งหมดในโพสต์นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ติดตามรีวิวร้านอาหาร ของกิน ที่เที่ยว ที่พัก และไลฟ์สไตล์อื่นๆ ได้ที่ facebook.com/twinklebabystyle นะคะ ❤️

Disclaimer: This post is NOT sponsored. All opinions are my own.