เมื่อสัปดาห์ก่อนเรามีโอกาสได้ไปลองทานอาหารจากร้าน Fat Beef ถนนนางลิ้นจี่
อยากบอกว่าเป็นอีกร้านที่คนชอบกินเนื้อวัวไม่ควรพลาดเด็ดขาดค่ะ เราเองเป็นคนชอบกินเนื้อมากๆ
กินได้ทุกเกรด จะเนื้อไทย เนื้อนอกอะไรก็กินได้หมดเลย ขอการันตีว่าเนื้อที่ร้าน Fat Beef เด็ดจริง!
ไม่อนุญาตให้นำรูปภาพและเนื้อหาทั้งหมดภายในเว็บไซต์ไปดัดแปลง ทำซ้ำ หรือเผยแพร่ต่อโดยเด็ดขาด
ร้าน Fat Beef ตั้งอยู่ที่โครงการ De For Rest ติดกับถนนนางลิ้นจี่ ไม่ไกลจากย่านสาทรมาก
ตัวร้านจะอยู่ชั้นสองของโครงการ ซึ่งบรรยากาศในร้านจะเป็นแบบเปิดโล่ง นั่งกินกันแบบ Rooftop
มีเมนูหลากหลายแต่จะเน้นที่เนื้อวัวเป็นพิเศษหน่อย โดยเฉพาะสเต็กเนื้อแบบ DIY ที่เราแนะนำว่าต้องลอง
นอกจากเนื้อย่างแล้ว ทางร้านก็ยังมีเมนูข้าว เมนูพาสต้าต่างๆ ให้เลือกสั่งด้วยค่ะ
บรรยากาศในร้านจะสบายๆ มีเพลงเปิดคลอ ใครไปทานเป็นมื้อค่ำแนะนำช่วงหลัง 5 โมง
อากาศจะไม่ร้อนเกินไป แดดไม่มี ลมพัดเย็นๆ พอฟ้ามืดทางร้านจะมีเทียนให้ที่โต๊ะด้วย
ส่วนของอาหาร ถูกใจสายเนื้อแบบเรามากค่ะโดยเฉพาะเนื้อย่างแบบ DIY ที่ร้านจะให้เราย่างเอง
จะยกเตามาให้ที่โต๊ะเลย กระทะย่างที่นี่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร ตรงที่ใช้เป็นกระทะคริสตัลค่ะ
ด้วยความที่เป็นหินคริสตัล ทำให้กระจายความร้อนได้ดีกว่ากระทะย่างทั่วไป เนื้อก็จะสุกทั่วถึงกัน
นอกจากจะดูเก๋แล้วยังได้กินไวเพราะเนื้อสุกเร็วด้วย ใครใจร้อนทนหิวไม่ไหวน่าจะถูกใจสิ่งนี้
เกริ่นมามากแล้ว เดี๋ยวรายละเอียดอื่นๆ ไปอ่านในรีวิวกันเลยนะคะ
โครงการ De For Rest อยู่ติดถนนนางลิ้นจี่เลย ภายในโครงการมีคาเฟ่ ร้านกาแฟบรรยากาศดีๆ เยอะ
Fat Beef ก็เป็นหนึ่งในนี้ค่ะ อยู่ชั้นสองบนร้าน KUSH CAFE แต่แถวนั้นไม่ติดแนวรถไฟฟ้านะคะ
แนะนำใกล้ที่สุดคือมาลง BTS สถานีช่องนนทรีและต่อแท็กซี่มายังโครงการ
หรือจะลง MRT สถานีลุมพินีและต่อแท็กซี่ ให้เค้าลัดเข้าซอยเย็นอากาศก็ได้
เดินเข้ามาด้านใน จะเจอทางขึ้นร้านแบบนี้เลย ร้านใช้สีแดงเป็นโทนหลัก มีเปิดไฟนีออนโดดเด่นค่ะ
มีโต๊ะหลายที่นั่งอยู่นะคะ แต่เป็นแบบโอเพ่นแอร์ทั้งหมด โล่งโปร่งไม่อึดอัดเลย
ส่วนตัวชอบการตกแต่งของร้านมากค่ะ คือมันไม่เยอะไม่น้อยไป กำลังพอดี มีมุมถ่ายรูปให้พอชิคๆ
เป็นร้านที่สามารถนัดเพื่อนกลุ่มใหญ่มาเฮฮาได้ แต่ก็นัดเดทกับแฟนในวันสบายๆ ได้เช่นกัน
มาถึงส่วนของอาหารกันบ้าง เป็นพาร์ทที่ทุกคนน่าจะรอคอยเนอะ อุปกรณ์พร้อมมากค่ะ
มาครบทุกอย่าง จะช้อน จะส้อม มีดและตะเกียบ ถนัดแบบไหนใช้แบบนั้นได้เลย
ก่อนไปที่อาหาร เราขอโฟกัสที่ตัวกระทะย่างก่อนเลย ตอนทางร้านยกมาตั้ง เรากับแฟนถึงกับตาโต
เพราะยังไม่เคยกินเนื้อย่างที่ใช้เตาหินแบบนี้มาก่อน แปลกล้ำสำหรับเรามากค่ะ เกิดความสนใจเลยถามดู
ทางร้านตอบว่าเป็นกระทะที่ทำจากหินคริสตัล จะนำความร้อนได้ดีกว่าที่ย่างแบบปกติทั่วไปด้วยนะ
หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็ทยอยออกมาเรื่อยๆ ค่ะ วันนี้เราได้ลองเป็นเนื้อย่าง DIY Grill
บอกก่อนว่าร้าน Fat Beef เค้ามีเมนูหลายแบบค่ะ จะมีทั้งแบบอาหารจานเดี่ยว ทั้งสเต็กที่ย่างให้แล้ว
แต่ถ้าใครอยากกินเนื้อแบบย่างเอง ได้คุมความสุกเนื้อตามที่ชอบ แนะนำเป็น DIY Grill เลยค่ะ
เพราะนอกจากจะได้เลือกส่วนของเนื้อที่อยากกิน เรายังย่างเองได้ตามใจชอบด้วยนะ
เมนูของ DIY ที่เราสั่งมาย่างเองจะมีตามนี้เลยค่ะ ราคาไม่แพงเลยนะคะ เพราะคุณภาพเนื้อดีทุกจาน
ใครที่ไม่ทานเนื้อวัว ที่ร้านก็มีหมูกับกุ้งให้เลือกด้วยนะ แต่ตัวเลือกจะไม่เยอะเท่าเนื้อวัวค่ะ
มาดูกันที่จานแรกค่ะ Australian Wagyu MS7+ Picanha Steak 250g (695 บาท)
เป็นจานที่อยากแนะนำให้สายเนื้อสั่งแม้ราคาจะแรงสุดในเมนู DIY ก็ตามเพราะมันดีมากๆ เนื้อวากิวออสเตรเลียเกรด MS7+
นุ่มละมุนลิ้น เนยที่เสิร์ฟมาด้วยกันเป็น Herb Butter ที่ทางร้านทำเอง เวลาย่างเนื้อก็ท็อปเนยลงไปบนเนื้อ เด็ดดวงมากค่ะ
(MS – Marbling Score คือการแบ่งเกรดของเนื้อในออสเตรเลีย)
ถ้ารูปภาพมันเก็บกลิ่นมาฝากคนอ่านได้ ตอนนี้ทุกคนที่อ่านรีวิวอยู่คงได้กลิ่นเนยหอมๆ ฟุ้งไปทั่วห้องแน่นอนค่ะ
ความนุ่มของเนื้อไม่ต้องพูดถึง แทบละลายในปาก ไขมันเนื้อหอมๆ บวกกับเนย ฟินยิ่งกว่าฟิน
ราคาจานละเกือบเจ็ดร้อยแต่อร่อยขนาดนี้ เราว่าไม่แพงเกินไป ได้ตั้ง 250g คือไม่น้อยเลยนะคะ ต้องสั่งจริงๆ
ต่อไปเป็น Australian Wagyu Medallion Steak Dice Cut 150g (355 บาท) ตัวนี้จะเป็นสเต็กหั่นเต๋าค่ะ
เป็นออสเตรเลียนวากิวเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะเหนียวถ้าย่างนาน แต่สรุปไม่เหนียวเลยค่ะ นุ่มมากกก
จานนี้เป็นเนื้อส่วนหัวไหล่สไลซ์มาบางๆ ในเมนูยังไม่ได้เพิ่มจานนี้มาค่ะ เลยไม่แน่ใจว่ากี่กรัมและราคาเท่าไหร่
แต่ว่าส่วนนี้แนะนำว่าไม่ควรย่างนานเกิน เพราะสไลซ์มาบางอยู่แล้ว ย่างนานจะสุกเกินแล้วไม่นุ่มเท่าที่ควรค่ะ
สุดท้ายที่ได้ลองในเมนู DIY คือเบค่อนหมูรมควัน Smoked Free Range Bacon 150g (145 บาท)
ใครชอบเบค่อนต้องลองสั่งค่ะ รมควันมาจริง อร่อย หอมมาก ไม่ได้เป็นเบค่อนแบบสดที่เหมือนกับหมูสามชั้นนะ
แค่เห็นภาพก็หิวแล้ว นั่งพิมพ์รีวิวไปท้องร้องไป อยากกินอีกกก
ใครชอบกินข้าวต้องสั่ง Chili and Garlic Wagyu Tomahawk Fat Beef bowl (เล็ก 165 บาท/ใหญ่ 425 บาท)
เป็นข้าวคั่วมันเนื้อโทมาฮอว์คพริกแห้ง เสิร์ฟพร้อมไข่ดองพอนสึค่ะ ที่เห็นในภาพเป็นขนาดไซซ์ L นะคะ กินได้สักสองถึงสามคน
เวลากินก็เทไข่ดองลงไปแบบนี้ รสชาติของข้าวจัดจ้าน เข้มข้น ถึงรสถึงเครื่อง
มีกระเทียมเจียวและมันเนื้อคั่วหอมๆ จนแห้งกรอบ เพิ่มรสสัมผัสเวลาเคี้ยว
กินพร้อมไข่ดองเพื่อตัดรสเผ็ด เอาไปร้อยเต็มค่ะจานนี้ ถูกใจคนชอบกินข้าวแน่นอน
รีวิวเนื้อแล้ว ข้าวแล้ว มาที่ซอสบ้างค่ะ เราได้ชิมกัน 4 แบบตามนี้
Truffle Cream เป็นซอสครีมทรัฟเฟิลสีขาว ไม่ข้นมากกำลังดี ตัวนี้เราชอบสุดค่ะ อร่อยเข้ากับเนื้อมาก อยากยกซด 555
Gravy ซอสเกรวี่ที่นี่รสชาติกลางๆ ไม่ข้นเกินเช่นกัน ชอบที่มันเบาๆ จิ้มแล้วไม่กลบรสชาติเนื้อเลย
Jaw หรือน้ำจิ้มแจ่วค่ะ แต่เป็นแจ่วที่รสไม่ได้ชัดขนาดตามร้านอาหารอีสานค่ะ กลางๆ ไม่เผ็ดเท่าไหร่ กำลังดีเลย
Chimichurri ตัวนี้กินแล้วสดชื่น ไม่เลี่ยน เหมาะสำหรับใครที่ไม่ชอบพวกครีมซอส หอมสมุนไพรมาก
อร่อยทุกซอส บอกเลยว่าเลือกจิ้มไม่แทบไม่ถูก
บรรยากาศในร้านตอนเริ่มเปิดไฟ ฟ้าใกล้มืดก็แอบโรแมนติกเหมือนกันนะคะ มีเทียนจุดให้ที่โต๊ะด้วยนะ
เป็นร้านที่มาลองแล้วประทับใจและคุยกับแฟนว่าจะมากินอีกครั้งแน่นอนเลย อร่อยถูกใจมากกก
เราว่าราคาเนื้อในเมนู DIY คือคุณภาพเกินราคา ข้าวคั่วมันเนื้อก็อร่อย ยังติดใจอยากกินจนตอนนี้
สรุปง่ายๆ ว่าแนะนำจากใจจริง ปกติเขียนรีวิวจะไม่เน้นอวยอย่างเดียว อะไรที่ไม่ชอบก็จะติตรงๆ
แต่ที่นี่ยังไม่รู้สึกไม่ชอบอะไรเลย อร่อยทุกอย่างเลยจริงๆ โอกาสหน้าจะลองสั่งเมนูอื่นๆ ดูด้วยค่ะ
สำหรับใครที่มองหาร้านสายเนื้อดีๆ ที่เมนูหลากหลายสักร้าน อย่าพลาด Fat Beef นะคะ
ความคิดเห็นทั้งหมดในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดใดๆ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
ติดตามรีวิวร้านอาหาร ของกิน ที่เที่ยว ที่พัก และไลฟ์สไตล์อื่นๆ ได้ที่ facebook.com/twinklebabystyle นะคะ ❤️
Disclaimer: PR Gift. All opinions are my own.